ฉบับที่ 6/2556
นายอานุภาพ คูวินิชกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ปี 2555 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพโดยสินเชื่อขยายตัวได้ดี สภาพคล่องตึงตัวขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ คุณภาพสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดีกำไรสุทธิและเงินกองทุนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามแรงส่งจากอุปสงค์ภายในประเทศหลังภาวะน้ำท่วมและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 13.7 ในปี 2555 โดยผลกระทบของเศรษฐกิจ โลกต่อภาคการส่งออกของไทยและการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ทำให้ สินเชื่อธุรกิจ (สัดส่วนร้อยละ 69.8 ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวชะลอลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 10.6 ทั้งนี้ สินเชื่อธุรกิจชะลอตัวลงในเกือบทุกภาค ยกเว้นภาคธุรกิจการเงินและธุรกิจก่อสร้างที่ยังขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจเพื่อการลงทุน (Holding Companies) เพื่อใช้ขยายธุรกิจในต่างประเทศธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ การซ่อมสร้างหลังอุทกภัยและโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ อนึ่ง สินเชื่อ SME (สัดส่วนร้อยละ 51.8 ของสินเชื่อธุรกิจ) ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 14.1 ในขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภค (สัดส่วนร้อยละ 30.2 ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวร้อยละ 21.6 เร่งตัวขึ้นในสินเชื่อทุกประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์จากมาตรการรถยนต์คันแรก และสินเชื่อส่วนบุคคลจากความต้องการใช้จ่ายหลังน้ำท่วมและธนาคารพาณิชย์หันมาให้สินเชื่อประเภทนี้มากขึ้น เนอื่ งจากได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสูง
ในปี 2555 ธนาคารพาณิชย์ระดมเงินฝากเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange : B/E) ที่ครบกำหนดจากผลของมาตรการเรียกเก็บเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินบนฐานของ B/E และเกณฑ์ควบคุมการออก B/E ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และมีการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นรวมทั้งการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิและออกหุ้นกู้ในต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ดี สินเชื่อที่ขยายตัวต่อเนื่องทำให้สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวมตึงตัวขึ้น โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก B/E และเงินกู้ยืมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 87.9
คุณภาพสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดีตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได? (NPL) มียอดคงค้าง 254.2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 ลดลงจากปี 2554 จำนวน 11.9 พันล้านบาทจากการรับชำระหนี้ การตัดหนี้สูญและการขายหนี้ NPL ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจ เป็นสำคัญ ส่งผลให้สัดส่วน Gross NPL และ Net NPL ต่อสินเชื่อรวม ลดลงเหลือร้อยละ 2.3 และร้อยละ 1.1 ตามลำดับ โดยสินเชื่อธุรกิจมีสัดส่วน NPL ลดลงเหลือร้อยละ 2.4 และสินเชื่ออุปโภคบริโภคลดลงเหลือร้อยละ 1.9 อย่างไรก็ดี สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Delinquent Loan) เพิ่มขึ้น 23.2 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 243.1 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นทั้งในสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมโลหะขั้นมูลฐาน สินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งนี้ ฐานสินเชื่อที่ขยายตัวสูงทำใหสั้ดส่วน Delinquent Loan ต่อสินเชอื่ รวมทรงตัวที่ร้อยละ 2.2 แม้ว่าคุณภาพสินเชื่อยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังและคำนึงถึงความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก จึงได้กันเงินสำรองเพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วนเงินสำรองที่มีต่อเงินสำรองที่ต้องกันตามกฎหมายเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 157.2
ในปี 2555 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 173.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 30.4 พันล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียม เช่น ค่านายหน้าธุรกิจประกันภัยและค่าบริการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ประกอบกับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละ 23 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Asset : ROA) เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 1.2 และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9.5 ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin : NIM) ทรงตัวที่ร้อยละ 2.5
ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะรองรับการขยายสินเชื่อในระยะต่อไป โดยเงินกองทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 และการจัดสรรกำไร อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Tier-1 ratio) อยู่ที่ร้อยละ 16.3 และร้อยละ 11.8 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนตามเกณฑ์ Basel III ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2556 มาก
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย