ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.กำหนดปิดตลาดอาร์/พี ของ ธปท.ในวันที่ 12 ก.พ.51 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดอาร์/พีเอกชน ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการแถลงข่าวว่า ธปท.เห็นควรกำหนดให้วันที่ 12 กงพ.51 เป็นวันทำการ
สุดท้ายของตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ธปท. เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาตลาดเงิน
ทั้งนี้ การปิดตลาดซื้อคืนพันธบัตรเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะช่วยให้ตลาดเงินของไทยพัฒนามากขึ้น โดยเป็นปัจจัยสนับสนุนให้สถาบันการเงินหันมากู้ยืมกันเอง
เช่น การทำธุรกรรมตลาดซื้อคืนภาคเอกชน (Private Repo) หรือการกู้ยืมระหว่างธนาคาร (Interbank) (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์,
มติชน, สยามรัฐ, ไทยรัฐ, ไทยโพสต์, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
2. สนพ.ประกาศลอยตัวก๊าซหุงต้ม 1 ธ.ค.นี้ ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอีก 1.29 บาทต่อ กก. รายงานข่าวจาก ก.พลังงาน
เปิดเผยว่า วันที่ 1 ธ.ค.นี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะประกาศลอยตัวก๊าซหุงต้ม ส่งผลให้ราคาขายส่งก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี)
ณ คลังก๊าซ เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 1.29 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับราคาก๊าซหุงต้มตลาดโลกวันนี้ (30 พ.ย.50) การปรับราคาขายส่งครั้งนี้
จะมีผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นอีกทันที 1.29 บาทต่อกิโลกรัมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การลอยตัวครั้งนี้ กรมการค้าภายในไม่อนุมัติให้ผู้ค้าปรับ
ค่าการตลาดและค่าขนส่ง โดยค่าการตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 3.256 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนค่าขนส่งขึ้นอยู่กับเส้นทางจากคลังก๊าซไปยังจังหวัด การ
ปรับขึ้นครั้งนี้จะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มปรับขึ้นจากกิโลกรัมละ 16.81 บาท เป็น 18.10 บาท (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน,
โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง, มติชน, ข่าวสด)
3. กฎหมายอาร์เอ็มเอฟใหม่จะมีผลบังคับใช้ 1 มี.ค.51 รองอธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึง การประกาศใช้กฎหมายกองทุนรวม
เพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งที่มุ่งจะส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ โดยผู้ลงทุนจะได้ประโยชน์
ทางภาษีครบถ้วนต่อเมื่อลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ว่า กฎหมายดังกล่าวจะมีการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาได้ใน
วันที่ 1 มี.ค.51 จากกำหนดเดิมที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะประกาศใช้ในวันที่ 1 ต.ค.50 อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุน
สามารถดำเนินการธุรกรรมทุกอย่างตามกฎหมายเดิมที่ระบุไว้ นั่นคือ ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถถอดถอนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบระยะเวลา 5 ปี
ตามปกติ จนกว่ากฎหมายจะมีการประกาศออกมาชัดเจน (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
4. ม.หอการค้าประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 51 จะขยายตัวร้อยละ 4.6 ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้ประมาณการภาวะเศรษฐกิจของไทยปี 51 จะขยายตัวร้อยละ 4.6 เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่คาดว่า
จะขยายตัวร้อยละ 4.2 เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมัน ซึ่งมีแนวโน้มค่าเฉลี่ยราคาเพิ่มขึ้นอีก 5 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล จาก
65-68 ดอลลาร์ สรอ. เป็น 70-72 ดอลลาร์ สรอ.ในปีหน้า ส่งผลกระทบต่อราคาเฉลี่ยน้ำมันขายปลีกในประเทศเพิ่มอีก 2 บาทต่อลิตร
ทำให้ไทยขาดดุลสูงขึ้นจากการนำเข้าน้ำมันอีก 50,000 ล้านบาท อันเป็นปัจจัยกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 0.2 นอกจากนี้
เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตลาด สรอ. ที่ขณะนี้มีปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) อีกด้วย (ผู้จัดการรายวัน,
โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ต่อเดือน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 29 พ.ย.50
ก.พาณิชย์ สรอ.รายงานยอดขายบ้านใหม่สำหรับครอบครัวเดี่ยวใน สรอ.ในเดือน ต.ค.50 อยู่ที่ระดับ 728,000 หน่วยต่อปี เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.7 ต่อเดือน จากระดับ 716,000 หน่วยในเดือน ก.ย.50 ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.39 ทั้งนี้ ตัวเลขของเดือน
ก.ย.50 เพิ่งถูกปรับลดลงมาจากรายงานครั้งแรกที่ 770,000 หน่วยต่อปี ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของบ้านใหม่อยู่ที่ 217,800 ดอลลาร์
สรอ.ลดลงร้อยละ 8.6 จากเดือน ก.ย.50 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 238,400 ดอลลาร์ สรอ. ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบ 26 ปีเมื่อเทียบ
ต่อเดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ย.24 เป็นต้นมา ในขณะที่เมื่อเทียบต่อปี ลดลงร้อยละ 13 ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบ 37 ปีเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่
เดือน ก.ย.13 เป็นต้นมา ทั้งนี้ เป็นผลจากวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นทั่วประเทศจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์มก่อนหน้านี้ ทำให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน
ที่ได้รับการอนุมัติมีจำนวนลดลง ส่งผลให้มีบ้านค้างสต็อกมากขึ้น โดยในเดือน ต.ค.50 มีบ้านค้างสต็อกจำนวน 516,000 หน่วยซึ่งต้องใช้
เวลาถึง 8.5 เดือนจึงจะขายบ้านเหล่านี้ได้หมด (รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาส 3 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อ
วันที่ 29 พ.ย.50 รัฐบาล สรอ. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.9 ที่รายงาน
ไว้เมื่อเดือนก่อน และเป็นอัตราการขยายตัวรายไตรมาสสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 46 ที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 7.5 แต่ต่ำกว่าที่
นักเศรษฐศาสตร์ของวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ร้อยละ 4.8 โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า
ในช่วงไตรมาส 3 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 32.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากที่ทางการประมาณการไว้ 15.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อ
เดือนก่อน ซึ่งยอดสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม
คาดว่าการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4
อนึ่ง ทางการจะปรับปรุงตัวเลขทางเศรษฐกิจ 2 ครั้ง หลังจากประมาณการครั้งแรกและจะเผยแพร่ตัวเลขครั้งสุดท้ายของไตรมาส 3 ใน
วันที่ 20 ธ.ค. (รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษปีหน้าจะขยายตัวลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะปรับเพิ่มสูงขึ้น รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศ
อังกฤษ เมื่อวันที่ 29 พ.ย.50 Mervyn King ผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษ กล่าวว่า เศรษฐกิจของอังกฤษในปีหน้าจะชะลอตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ
จะปรับเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้นก่อนที่จะปรับตัวลดลงอยู่ในระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2.0 ในเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงหลาย
อย่างต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เขาและกรรมการหลายคนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) คาดว่ามีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย
ที่ ธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุม MPC ในสัปดาห์หน้า โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้เป็นไปตามที่ได้
คาดการณ์ไว้แล้ว และความผันผวนของตลาดการเงินก็เพียงแต่ทำให้ MPC ต้องทำงานให้เข้มงวดรัดกุมมากขึ้น ขณะที่คณะกรรมการ MPC บางคน
ที่ออกเสียงให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเมื่อ 2 เดือนก่อน ยังคงกังวลว่าผลผลิตอาจจะลดลงมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
และสันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้ครึ่งต่อครึ่งที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน สรอ. (รอยเตอร์)
4. ดัชนี PMI ชี้ว่าในเดือน พ.ย.50 ภาคการผลิตของญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวแล้ว รายงานจากโตเกียว เมื่อ 30 พ.ย.50 ดัชนีชี้วัด
ภาคการผลิตจากผลสำรวจความเห็นของผู้บริหารด้านจัดซื้อของโรงงานกว่า 350 แห่งในญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า PMI เพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขตาม
ฤดูกาลแล้วมาอยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือน พ.ย.50 หลังจากอยู่ที่ระดับ 49.5 ในเดือนก่อน โดยตัวเลขดัชนีที่สูงกว่า 50 ชี้ว่าภาคการผลิตกำลัง
ขยายตัว แต่ถ้าต่ำกว่า 50 แสดงว่ากำลังหดตัว ทั้งนี้ เป็นผลจากการขยายตัวของความต้องการทั้งในและต่างประเทศ โดยดัชนี PMI ในส่วน
ที่ชี้วัดคำสั่งซื้อใหม่ซึ่งรวมคำสั่งซื้อทั้งจากในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.6 ในเดือน พ.ย.50 จากระดับ 48.3 ในเดือนก่อน
เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 52.6 จากระดับ 52.0 ในเดือน ต.ค.50 จากการขยายตัวของยอดส่งออก
ไปยังเอเชียและยุโรป โดยจากตัวเลขของรัฐบาลเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ว่าในเดือน ต.ค.50 ที่ผ่านมายอดส่งออกไปยังยุโรปเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23.7 ต่อปี
ในขณะที่ยอดส่งออกไปยังเอเชียเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 ต่อปี แต่ยอดส่งออกไปยัง สรอ.ลดลงร้อยละ 1.5 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีในส่วนที่ชี้วัด
ผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.0 จากระดับ 49.4 ในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ส.ค.50 โดยส่วนหนึ่ง
เป็นผลจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ผลผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30 พ.ย. 50 29 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.848 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6316/33.9649 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39328 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 844.80/22.31 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,750/12,850 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 92.64 86.24 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.กำหนดปิดตลาดอาร์/พี ของ ธปท.ในวันที่ 12 ก.พ.51 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดอาร์/พีเอกชน ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการแถลงข่าวว่า ธปท.เห็นควรกำหนดให้วันที่ 12 กงพ.51 เป็นวันทำการ
สุดท้ายของตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ธปท. เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาตลาดเงิน
ทั้งนี้ การปิดตลาดซื้อคืนพันธบัตรเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะช่วยให้ตลาดเงินของไทยพัฒนามากขึ้น โดยเป็นปัจจัยสนับสนุนให้สถาบันการเงินหันมากู้ยืมกันเอง
เช่น การทำธุรกรรมตลาดซื้อคืนภาคเอกชน (Private Repo) หรือการกู้ยืมระหว่างธนาคาร (Interbank) (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์,
มติชน, สยามรัฐ, ไทยรัฐ, ไทยโพสต์, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
2. สนพ.ประกาศลอยตัวก๊าซหุงต้ม 1 ธ.ค.นี้ ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอีก 1.29 บาทต่อ กก. รายงานข่าวจาก ก.พลังงาน
เปิดเผยว่า วันที่ 1 ธ.ค.นี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะประกาศลอยตัวก๊าซหุงต้ม ส่งผลให้ราคาขายส่งก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี)
ณ คลังก๊าซ เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 1.29 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับราคาก๊าซหุงต้มตลาดโลกวันนี้ (30 พ.ย.50) การปรับราคาขายส่งครั้งนี้
จะมีผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นอีกทันที 1.29 บาทต่อกิโลกรัมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การลอยตัวครั้งนี้ กรมการค้าภายในไม่อนุมัติให้ผู้ค้าปรับ
ค่าการตลาดและค่าขนส่ง โดยค่าการตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 3.256 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนค่าขนส่งขึ้นอยู่กับเส้นทางจากคลังก๊าซไปยังจังหวัด การ
ปรับขึ้นครั้งนี้จะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มปรับขึ้นจากกิโลกรัมละ 16.81 บาท เป็น 18.10 บาท (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน,
โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง, มติชน, ข่าวสด)
3. กฎหมายอาร์เอ็มเอฟใหม่จะมีผลบังคับใช้ 1 มี.ค.51 รองอธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึง การประกาศใช้กฎหมายกองทุนรวม
เพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งที่มุ่งจะส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ โดยผู้ลงทุนจะได้ประโยชน์
ทางภาษีครบถ้วนต่อเมื่อลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ว่า กฎหมายดังกล่าวจะมีการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาได้ใน
วันที่ 1 มี.ค.51 จากกำหนดเดิมที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะประกาศใช้ในวันที่ 1 ต.ค.50 อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุน
สามารถดำเนินการธุรกรรมทุกอย่างตามกฎหมายเดิมที่ระบุไว้ นั่นคือ ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถถอดถอนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบระยะเวลา 5 ปี
ตามปกติ จนกว่ากฎหมายจะมีการประกาศออกมาชัดเจน (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
4. ม.หอการค้าประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 51 จะขยายตัวร้อยละ 4.6 ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้ประมาณการภาวะเศรษฐกิจของไทยปี 51 จะขยายตัวร้อยละ 4.6 เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่คาดว่า
จะขยายตัวร้อยละ 4.2 เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมัน ซึ่งมีแนวโน้มค่าเฉลี่ยราคาเพิ่มขึ้นอีก 5 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล จาก
65-68 ดอลลาร์ สรอ. เป็น 70-72 ดอลลาร์ สรอ.ในปีหน้า ส่งผลกระทบต่อราคาเฉลี่ยน้ำมันขายปลีกในประเทศเพิ่มอีก 2 บาทต่อลิตร
ทำให้ไทยขาดดุลสูงขึ้นจากการนำเข้าน้ำมันอีก 50,000 ล้านบาท อันเป็นปัจจัยกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 0.2 นอกจากนี้
เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตลาด สรอ. ที่ขณะนี้มีปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) อีกด้วย (ผู้จัดการรายวัน,
โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ต่อเดือน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 29 พ.ย.50
ก.พาณิชย์ สรอ.รายงานยอดขายบ้านใหม่สำหรับครอบครัวเดี่ยวใน สรอ.ในเดือน ต.ค.50 อยู่ที่ระดับ 728,000 หน่วยต่อปี เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.7 ต่อเดือน จากระดับ 716,000 หน่วยในเดือน ก.ย.50 ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.39 ทั้งนี้ ตัวเลขของเดือน
ก.ย.50 เพิ่งถูกปรับลดลงมาจากรายงานครั้งแรกที่ 770,000 หน่วยต่อปี ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของบ้านใหม่อยู่ที่ 217,800 ดอลลาร์
สรอ.ลดลงร้อยละ 8.6 จากเดือน ก.ย.50 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 238,400 ดอลลาร์ สรอ. ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบ 26 ปีเมื่อเทียบ
ต่อเดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ย.24 เป็นต้นมา ในขณะที่เมื่อเทียบต่อปี ลดลงร้อยละ 13 ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบ 37 ปีเมื่อเทียบต่อปีนับตั้งแต่
เดือน ก.ย.13 เป็นต้นมา ทั้งนี้ เป็นผลจากวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นทั่วประเทศจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์มก่อนหน้านี้ ทำให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน
ที่ได้รับการอนุมัติมีจำนวนลดลง ส่งผลให้มีบ้านค้างสต็อกมากขึ้น โดยในเดือน ต.ค.50 มีบ้านค้างสต็อกจำนวน 516,000 หน่วยซึ่งต้องใช้
เวลาถึง 8.5 เดือนจึงจะขายบ้านเหล่านี้ได้หมด (รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาส 3 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อ
วันที่ 29 พ.ย.50 รัฐบาล สรอ. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของ สรอ. ในไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.9 ที่รายงาน
ไว้เมื่อเดือนก่อน และเป็นอัตราการขยายตัวรายไตรมาสสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 46 ที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 7.5 แต่ต่ำกว่าที่
นักเศรษฐศาสตร์ของวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ร้อยละ 4.8 โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า
ในช่วงไตรมาส 3 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 32.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากที่ทางการประมาณการไว้ 15.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อ
เดือนก่อน ซึ่งยอดสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม
คาดว่าการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4
อนึ่ง ทางการจะปรับปรุงตัวเลขทางเศรษฐกิจ 2 ครั้ง หลังจากประมาณการครั้งแรกและจะเผยแพร่ตัวเลขครั้งสุดท้ายของไตรมาส 3 ใน
วันที่ 20 ธ.ค. (รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษปีหน้าจะขยายตัวลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะปรับเพิ่มสูงขึ้น รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศ
อังกฤษ เมื่อวันที่ 29 พ.ย.50 Mervyn King ผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษ กล่าวว่า เศรษฐกิจของอังกฤษในปีหน้าจะชะลอตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ
จะปรับเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้นก่อนที่จะปรับตัวลดลงอยู่ในระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2.0 ในเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงหลาย
อย่างต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เขาและกรรมการหลายคนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) คาดว่ามีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย
ที่ ธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุม MPC ในสัปดาห์หน้า โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้เป็นไปตามที่ได้
คาดการณ์ไว้แล้ว และความผันผวนของตลาดการเงินก็เพียงแต่ทำให้ MPC ต้องทำงานให้เข้มงวดรัดกุมมากขึ้น ขณะที่คณะกรรมการ MPC บางคน
ที่ออกเสียงให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเมื่อ 2 เดือนก่อน ยังคงกังวลว่าผลผลิตอาจจะลดลงมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
และสันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้ครึ่งต่อครึ่งที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน สรอ. (รอยเตอร์)
4. ดัชนี PMI ชี้ว่าในเดือน พ.ย.50 ภาคการผลิตของญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวแล้ว รายงานจากโตเกียว เมื่อ 30 พ.ย.50 ดัชนีชี้วัด
ภาคการผลิตจากผลสำรวจความเห็นของผู้บริหารด้านจัดซื้อของโรงงานกว่า 350 แห่งในญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า PMI เพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขตาม
ฤดูกาลแล้วมาอยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือน พ.ย.50 หลังจากอยู่ที่ระดับ 49.5 ในเดือนก่อน โดยตัวเลขดัชนีที่สูงกว่า 50 ชี้ว่าภาคการผลิตกำลัง
ขยายตัว แต่ถ้าต่ำกว่า 50 แสดงว่ากำลังหดตัว ทั้งนี้ เป็นผลจากการขยายตัวของความต้องการทั้งในและต่างประเทศ โดยดัชนี PMI ในส่วน
ที่ชี้วัดคำสั่งซื้อใหม่ซึ่งรวมคำสั่งซื้อทั้งจากในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.6 ในเดือน พ.ย.50 จากระดับ 48.3 ในเดือนก่อน
เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 52.6 จากระดับ 52.0 ในเดือน ต.ค.50 จากการขยายตัวของยอดส่งออก
ไปยังเอเชียและยุโรป โดยจากตัวเลขของรัฐบาลเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ว่าในเดือน ต.ค.50 ที่ผ่านมายอดส่งออกไปยังยุโรปเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23.7 ต่อปี
ในขณะที่ยอดส่งออกไปยังเอเชียเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 ต่อปี แต่ยอดส่งออกไปยัง สรอ.ลดลงร้อยละ 1.5 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีในส่วนที่ชี้วัด
ผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.0 จากระดับ 49.4 ในเดือน ต.ค.50 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ส.ค.50 โดยส่วนหนึ่ง
เป็นผลจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ผลผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30 พ.ย. 50 29 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.848 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6316/33.9649 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39328 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 844.80/22.31 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,750/12,850 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 92.64 86.24 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--