แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. มูลค่าการโอนเงินผ่านระบบชำระเงินของ ธปท. ช่วง 11 เดือนแรกปี 50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 ฝ่ายการชำระเงิน ธปท.
รายงานยอดธุรกรรมการชำระเงินทั้งรายใหญ่และรายย่อย ผ่านระบบการชำระเงินของ ธปท. ช่วง 11 เดือนแรกของปี 50 ว่า มีปริมาณ
ธุรกรรมการชำระเงินของภาคธุรกิจและประชาชนผ่านระบบการชำระเงิน ได้แก่ การโอนเงินรายใหญ่ผ่านระบบบาทเน็ต การโอนเงินรายย่อย
ผ่านระบบสมาร์ท และการโอนเงินด้วยการใช้เช็ค รวม 89,971,575 ครั้ง ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.2 ตามสภาวะการ
ชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม แต่หากคิดเป็นมูลค่าการโอนเงินมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 197.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน
ร้อยละ 23.5 โดยปริมาณการใช้เช็คทั่วประเทศมี 74,672,033 ฉบับ ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.8 คิดเป็นมูลค่า
29.8 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ทั้งนี้ การใช้เช็คลดลงต่อเนื่องจากช่วง 7 เดือนแรกของปีก่อนตามการชะลอตัวของการใช้จ่าย
และการลงทุนและเริ่มกลับมาขยายตัวดีขึ้นใน 4 เดือนหลัง จากการใช้จ่ายและการลงทุนที่เริ่มกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่การโอนเงิน
รายย่อยด้วยระบบสมาร์ทมียอดการโอนลดลงมากที่สุด โดยช่วง 11 เดือนแรกของปี 50 มียอดการโอนรายย่อย 13,669,869 ครั้ง ลดลง
ร้อยละ 4.8 คิดเป็นมูลค่า 630,100 ล้านบาท แสดงให้เห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคประชาชนที่ลดลง ส่วนการโอนเงินรายใหญ่ผ่าน
ระบบบาทเน็ตซึ่งเป็นการโอนเงินระหว่าง ธ.พาณิชย์ การโอนเงินรายใหญ่ของภาคธุรกิจ และการโอนเงินของธุรกรรมตราสารหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
มียอดการโอนเงิน 1.62 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 คิดเป็นมูลค่า 166.74 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5 สำหรับแนวโน้มปริมาณ
และมูลค่าธุรกรรมการชำระเงินผ่านระบบการชำระเงินของ ธปท. ปี 51 จะเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และ
แนวทางแผนกลยุทธ์การชำระเงินของ ธปท. ที่ต้องการลดปริมาณการใช้เงินสดในมือของประชาชนลง โดยจะมีมาตรการจูงใจให้ลูกค้าทั้งระดับ
ผู้บริโภคและระดับผู้ประกอบการหันมาใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น รวมทั้งจะขยายการรับชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
ให้ชำระเงินระหว่างประเทศอาเซียนได้ ยกเว้นปริมาณการใช้เช็คอาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากความพยายามของ ธปท. ที่ต้องการให้เกิด
การโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าการใช้เช็คเพราะสิ้นเปลืองน้อยกว่า และลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและจัดส่งเช็คซึ่งแต่ละปีคิดเป็น
เงินจำนวนมาก (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
2. ก.คลังคาดว่าเศรษฐกิจปี 51 จะเติบโตเกินร้อยละ 5 นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุม
คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 — 5.5 โดยที่ประชุมเห็นว่า
ศักยภาพเศรษฐกิจไทยยังดี แต่มีปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจ โดยเฉพาะสาขาที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก จึงเห็น
ควรให้เร่งส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 51 เศรษฐกิจน่าจะยังขยายตัวได้ในระดับดีพอสมควรไปจนถึงกลางปี
เพราะมีแรงส่งจากเศรษฐกิจปี 50 ที่ขยายตัวได้ดี แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 51 อาจจะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่ต้องเข้ามา
ขับเคลื่อน ทั้งนี้ แม้ราคาน้ำมันจะสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังต่ำ หากเศรษฐกิจยังมีการหมุนเวียนไปข้างหน้าเชื่อว่าต้นปีนี้จีดีพีจะขยายตัว
ได้ร้อยละ 5 ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงกลางและท้ายของปีนี้รัฐบาลใหม่ต้องเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงดูแล
เรื่องการส่งออกให้ดี เช่นเดียวกับการพิจารณาใช้นโยบายการเงินการคลังให้เหมาะสม ขณะที่นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า จีดีพีปี 51 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.6 โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากความ
ไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาซับไพรม์ที่อาจรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันแพงและเงินเฟ้อ(โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
3. คาดว่าการลงทุนในปีนี้อาจจะยังไม่ฟื้นตัว นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 และ 2 ของปี 51 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นเกิน
100 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อการลงทุนภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ
110 — 120 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ส่วนครึ่งหลังจะอยู่ที่ 80 — 90 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เนื่องจากทั่วโลกต่างรณรงค์ให้ประชาชน
หันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น รวมถึงโอเปกน่าจะเพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจของ สรอ. อาจทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลง
เพราะอัตราว่างงานของ สรอ. ช่วงเดือน ธ.ค.50 เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5 รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลาง สรอ. อย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้เงินบาทยิ่งแข็งค่าและเป็นปัญหาหนักด้านการส่งออกที่อาจขยายตัวได้ไม่มาก จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวตามกรอบที่วางไว้
ร้อยละ 4.5 — 5.0 หากไม่มีปัจจัยลบภายในประเทศ เช่น เสถียรภาพทางการเมือง ราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อ เป็นตัวบั่นทอนให้เศรษฐกิจ
ทรุดลงมากกว่านี้ (โลกวันนี้)
4. ไทยได้ดุลการค้าคู่สัญญาเอฟทีเอโดยรวม แต่ขาดดุลกับจีน น.ส.ชุติมา บุญยประภัศร อธิบดีกรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยถึงมูลค่าการค้าของไทยกับประเทศข้อตกลงทางการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ช่วง 11 เดือนแรกของปี 50 ว่า เอฟทีเอกับจีน ไทยส่งออก
13,398 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.4 นำเข้า 14,858 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 ขาดดุลการค้า
1,460 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 1,749 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเอฟทีเอกับออสเตรเลีย ไทยส่งออก
5,266 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 นำเข้า 3,456 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 เกินดุล 1,810 ล้านดอลลาร์ สรอ.
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เกินดุล 812 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่เอฟทีเอกับอินเดีย ไทยส่งออก 2,455 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 50 นำเข้า 1,908 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.6 เกินดุล 547 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่เกินดุล 175 ล้านดอลลาร์ สรอ. ด้านเอฟทีเอกับนิวซีแลนด์ ไทยส่งออก 568 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 นำเข้า
345 ล้านดอลลาร์ สอร. เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.3 เกินดุล 223.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เกินดุล 194 ล้านดอลลาร์
สรอ. เป็นต้น ทั้งนี้ เอฟทีเอส่วนใหญ่ไทยเกินดุลการค้ายกเว้นจีน สำหรับปีนี้เอฟทีเอยังจะเป็นแต้มต่อให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์ผลักดันการส่งออก
ให้ขยายตัวและนำเข้าสินค้าราคาถูกเพื่อให้แข่งขันได้ดีขึ้น (ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ Euro zone ในเดือน ธ.ค.50 ลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ
7 ม.ค.51 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ Euro zone ลดลงมาอยู่ที่ระดับ
104.7 ในเดือน ธ.ค.50 จากระดับ 104.8 ในเดือน พ.ย.50 ลดลงน้อยกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 104.3 โดยความเชื่อมั่นที่
ลดลงส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิต การค้าปลีก การก่อสร้างและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคบริการซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า
สองในสามของผลผลิตรวมของ Euro zone เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน Eurostat รายงานว่าในเดือน พ.ย.50 ราคาผู้ผลิตใน Euro zone
สูงขึ้นร้อยละ 0.8 ต่อเดือนและร้อยละ 4.1 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาที่สูงขึ้นของพลังงานและสินค้าที่ไม่คงทนสำหรับ
ผู้บริโภค โดยความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในบรรดาผู้ผลิตสูงขึ้นจากระดับ 12 เป็น 13 ในเดือน ธ.ค.50 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวซึ่ง
อยู่ที่ระดับ 6 มาก แต่อย่างไรก็ดี ความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อของผู้บริโภคซึ่ง ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับ
นโยบายการเงินยังคงที่อยู่ที่ระดับ 28 ในเดือน ธ.ค.50 นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าอัตราการว่างงานของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 คงที่
อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 7.2 (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้วัดบรรยากาศทางธุรกิจของยูโรโซนในเดือน ธ.ค.50 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ
7 ม.ค.50 The European Commission เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดบรรยากาศทางธุรกิจของกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรปที่ใช้เงิน
สกุลยูโร (ยูโรโซน) พบว่า ในเดือน ธ.ค.50 ดัชนีปรับตัวลดลงที่ระดับ 0.92 จากระดับ 1.03 ในเดือนก่อนหน้า ดีกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ
การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะลดลงที่ระดับ 0.90 อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงอยู่ในระดับสูง และมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้น
ของผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.50 ซึ่งสะท้อนว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อไป อนึ่งดัชนีชี้วัดบรรยากาศ
ทางธุรกิจ เป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการธุรกิจ ซึ่งประเมินจากแนวโน้มผลผลิตของธุรกิจในระยะใกล้ (รอยเตอร์)
3. รายได้จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรของจีนเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24.3 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 51
ก.ศุลกากรของจีนเปิดเผยว่า รายได้จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรของจีนในปี 50 เพิ่มขึ้นสูงถึง 758.5 พันล. หยวน (104 พันล.ดอลลาร์ สรอ.)
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 จากปีก่อนหน้าเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 22 ในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้เนื่องจากการค้าขยายตัวอย่างมาก ประกอบกับการจัดเก็บ
ค่าธรรมเนียมและภาษีใหม่หลายรายการที่มีผลบังคับใช้แล้ว ขณะเดียวกันการบริโภคในประเทศก็ขยายตัวอย่างมาก การลงทุน และการส่งออก
มีส่วนช่วยผลักดันให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นอย่างมากดังกล่าว ประกอบกับการนำเข้าสินค้าทำสถิติสูงสุดถึงร้อยละ 20.5 เมื่อ
11 เดือนแรกปีที่แล้ว ขณะที่การดำเนินนโยบายใหม่ๆเมื่อเร็วๆนี้ของทางการที่มีเป้าหมายที่จะลดการเกินดุลการค้าจำนวนมหาศาลของจีนลงก็มี
ส่วนสนับสนุนให้การจัดเก็บรายได้ศุลกากรในช่วง 11 เดือนแรกปีที่แล้วเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 52 อยู่ที่ระดับ 238.1 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
รวมทั้งการเพิ่มภาษีที่จัดเก็บจากการส่งออกสินค้าที่ใช้พลังงานสูงและการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภาษีการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
เพิ่มขึ้นประมาณ 20 พัน ล. หยวน (รอยเตอร์)
4. การส่งออกของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 5.7 เทียบต่อปี รายงาน
จากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 7 ม.ค.50 รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า การส่งออกของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 มีจำนวน 54.4 พัน ล.ริงกิต
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เทียบต่อปี น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเดือน ต.ค.50 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 (ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน
พ.ย.49 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4) แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เทียบต่อปี ขณะที่การนำเข้าของมาเลเซีย
(ซึ่งประมาณ 3 ใน 4 ส่วนใช้เพื่อผลิตและส่งออก) ในเดือน พ.ย.50 มีจำนวน 43.9 พัน ล.ริงกิต หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เทียบต่อปี
ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6.8 ส่งผลให้มาเลเซียเกินดุลการค้าในเดือน พ.ย.50 จำนวน 10.4 พัน ล.ริงกิต
(3.17 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) หรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 เทียบต่อปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเกินดุลจำนวน 9.1 พัน ล.ริงกิต ทั้งนี้
การส่งออกของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการปาล์มน้ำมันและน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ยอดส่งออก
สินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ชะลอตัว อนึ่ง ตลาดส่งออกสินค้าของมาเลเซียไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียนและจีนในเดือน พ.ย.ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ยอดส่งออกไปยังประเทศ สรอ. และ สหภาพยุโรปชะลอลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 ม.ค. 51 7 ม.ค. 51 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.361 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.1684/33.5005 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.33766 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 808.31/15.47 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,450/13,550 13,400/13,500 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 91.72 92.06 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.69*/29.74** 33.29/29.74** 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. มูลค่าการโอนเงินผ่านระบบชำระเงินของ ธปท. ช่วง 11 เดือนแรกปี 50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 ฝ่ายการชำระเงิน ธปท.
รายงานยอดธุรกรรมการชำระเงินทั้งรายใหญ่และรายย่อย ผ่านระบบการชำระเงินของ ธปท. ช่วง 11 เดือนแรกของปี 50 ว่า มีปริมาณ
ธุรกรรมการชำระเงินของภาคธุรกิจและประชาชนผ่านระบบการชำระเงิน ได้แก่ การโอนเงินรายใหญ่ผ่านระบบบาทเน็ต การโอนเงินรายย่อย
ผ่านระบบสมาร์ท และการโอนเงินด้วยการใช้เช็ค รวม 89,971,575 ครั้ง ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.2 ตามสภาวะการ
ชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม แต่หากคิดเป็นมูลค่าการโอนเงินมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 197.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน
ร้อยละ 23.5 โดยปริมาณการใช้เช็คทั่วประเทศมี 74,672,033 ฉบับ ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.8 คิดเป็นมูลค่า
29.8 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ทั้งนี้ การใช้เช็คลดลงต่อเนื่องจากช่วง 7 เดือนแรกของปีก่อนตามการชะลอตัวของการใช้จ่าย
และการลงทุนและเริ่มกลับมาขยายตัวดีขึ้นใน 4 เดือนหลัง จากการใช้จ่ายและการลงทุนที่เริ่มกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่การโอนเงิน
รายย่อยด้วยระบบสมาร์ทมียอดการโอนลดลงมากที่สุด โดยช่วง 11 เดือนแรกของปี 50 มียอดการโอนรายย่อย 13,669,869 ครั้ง ลดลง
ร้อยละ 4.8 คิดเป็นมูลค่า 630,100 ล้านบาท แสดงให้เห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคประชาชนที่ลดลง ส่วนการโอนเงินรายใหญ่ผ่าน
ระบบบาทเน็ตซึ่งเป็นการโอนเงินระหว่าง ธ.พาณิชย์ การโอนเงินรายใหญ่ของภาคธุรกิจ และการโอนเงินของธุรกรรมตราสารหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
มียอดการโอนเงิน 1.62 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 คิดเป็นมูลค่า 166.74 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5 สำหรับแนวโน้มปริมาณ
และมูลค่าธุรกรรมการชำระเงินผ่านระบบการชำระเงินของ ธปท. ปี 51 จะเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และ
แนวทางแผนกลยุทธ์การชำระเงินของ ธปท. ที่ต้องการลดปริมาณการใช้เงินสดในมือของประชาชนลง โดยจะมีมาตรการจูงใจให้ลูกค้าทั้งระดับ
ผู้บริโภคและระดับผู้ประกอบการหันมาใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น รวมทั้งจะขยายการรับชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
ให้ชำระเงินระหว่างประเทศอาเซียนได้ ยกเว้นปริมาณการใช้เช็คอาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากความพยายามของ ธปท. ที่ต้องการให้เกิด
การโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าการใช้เช็คเพราะสิ้นเปลืองน้อยกว่า และลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและจัดส่งเช็คซึ่งแต่ละปีคิดเป็น
เงินจำนวนมาก (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
2. ก.คลังคาดว่าเศรษฐกิจปี 51 จะเติบโตเกินร้อยละ 5 นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุม
คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 — 5.5 โดยที่ประชุมเห็นว่า
ศักยภาพเศรษฐกิจไทยยังดี แต่มีปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจ โดยเฉพาะสาขาที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก จึงเห็น
ควรให้เร่งส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 51 เศรษฐกิจน่าจะยังขยายตัวได้ในระดับดีพอสมควรไปจนถึงกลางปี
เพราะมีแรงส่งจากเศรษฐกิจปี 50 ที่ขยายตัวได้ดี แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 51 อาจจะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่ต้องเข้ามา
ขับเคลื่อน ทั้งนี้ แม้ราคาน้ำมันจะสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังต่ำ หากเศรษฐกิจยังมีการหมุนเวียนไปข้างหน้าเชื่อว่าต้นปีนี้จีดีพีจะขยายตัว
ได้ร้อยละ 5 ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงกลางและท้ายของปีนี้รัฐบาลใหม่ต้องเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงดูแล
เรื่องการส่งออกให้ดี เช่นเดียวกับการพิจารณาใช้นโยบายการเงินการคลังให้เหมาะสม ขณะที่นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า จีดีพีปี 51 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.6 โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากความ
ไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาซับไพรม์ที่อาจรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันแพงและเงินเฟ้อ(โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
3. คาดว่าการลงทุนในปีนี้อาจจะยังไม่ฟื้นตัว นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 และ 2 ของปี 51 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นเกิน
100 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อการลงทุนภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ
110 — 120 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ส่วนครึ่งหลังจะอยู่ที่ 80 — 90 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เนื่องจากทั่วโลกต่างรณรงค์ให้ประชาชน
หันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น รวมถึงโอเปกน่าจะเพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจของ สรอ. อาจทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลง
เพราะอัตราว่างงานของ สรอ. ช่วงเดือน ธ.ค.50 เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5 รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลาง สรอ. อย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้เงินบาทยิ่งแข็งค่าและเป็นปัญหาหนักด้านการส่งออกที่อาจขยายตัวได้ไม่มาก จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวตามกรอบที่วางไว้
ร้อยละ 4.5 — 5.0 หากไม่มีปัจจัยลบภายในประเทศ เช่น เสถียรภาพทางการเมือง ราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อ เป็นตัวบั่นทอนให้เศรษฐกิจ
ทรุดลงมากกว่านี้ (โลกวันนี้)
4. ไทยได้ดุลการค้าคู่สัญญาเอฟทีเอโดยรวม แต่ขาดดุลกับจีน น.ส.ชุติมา บุญยประภัศร อธิบดีกรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยถึงมูลค่าการค้าของไทยกับประเทศข้อตกลงทางการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ช่วง 11 เดือนแรกของปี 50 ว่า เอฟทีเอกับจีน ไทยส่งออก
13,398 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.4 นำเข้า 14,858 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 ขาดดุลการค้า
1,460 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 1,749 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเอฟทีเอกับออสเตรเลีย ไทยส่งออก
5,266 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 นำเข้า 3,456 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 เกินดุล 1,810 ล้านดอลลาร์ สรอ.
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เกินดุล 812 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่เอฟทีเอกับอินเดีย ไทยส่งออก 2,455 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 50 นำเข้า 1,908 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.6 เกินดุล 547 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่เกินดุล 175 ล้านดอลลาร์ สรอ. ด้านเอฟทีเอกับนิวซีแลนด์ ไทยส่งออก 568 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 นำเข้า
345 ล้านดอลลาร์ สอร. เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.3 เกินดุล 223.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เกินดุล 194 ล้านดอลลาร์
สรอ. เป็นต้น ทั้งนี้ เอฟทีเอส่วนใหญ่ไทยเกินดุลการค้ายกเว้นจีน สำหรับปีนี้เอฟทีเอยังจะเป็นแต้มต่อให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์ผลักดันการส่งออก
ให้ขยายตัวและนำเข้าสินค้าราคาถูกเพื่อให้แข่งขันได้ดีขึ้น (ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ Euro zone ในเดือน ธ.ค.50 ลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ
7 ม.ค.51 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ Euro zone ลดลงมาอยู่ที่ระดับ
104.7 ในเดือน ธ.ค.50 จากระดับ 104.8 ในเดือน พ.ย.50 ลดลงน้อยกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 104.3 โดยความเชื่อมั่นที่
ลดลงส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิต การค้าปลีก การก่อสร้างและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคบริการซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า
สองในสามของผลผลิตรวมของ Euro zone เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน Eurostat รายงานว่าในเดือน พ.ย.50 ราคาผู้ผลิตใน Euro zone
สูงขึ้นร้อยละ 0.8 ต่อเดือนและร้อยละ 4.1 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาที่สูงขึ้นของพลังงานและสินค้าที่ไม่คงทนสำหรับ
ผู้บริโภค โดยความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในบรรดาผู้ผลิตสูงขึ้นจากระดับ 12 เป็น 13 ในเดือน ธ.ค.50 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวซึ่ง
อยู่ที่ระดับ 6 มาก แต่อย่างไรก็ดี ความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อของผู้บริโภคซึ่ง ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับ
นโยบายการเงินยังคงที่อยู่ที่ระดับ 28 ในเดือน ธ.ค.50 นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าอัตราการว่างงานของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 คงที่
อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 7.2 (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้วัดบรรยากาศทางธุรกิจของยูโรโซนในเดือน ธ.ค.50 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ
7 ม.ค.50 The European Commission เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดบรรยากาศทางธุรกิจของกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรปที่ใช้เงิน
สกุลยูโร (ยูโรโซน) พบว่า ในเดือน ธ.ค.50 ดัชนีปรับตัวลดลงที่ระดับ 0.92 จากระดับ 1.03 ในเดือนก่อนหน้า ดีกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ
การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะลดลงที่ระดับ 0.90 อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงอยู่ในระดับสูง และมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้น
ของผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.50 ซึ่งสะท้อนว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อไป อนึ่งดัชนีชี้วัดบรรยากาศ
ทางธุรกิจ เป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการธุรกิจ ซึ่งประเมินจากแนวโน้มผลผลิตของธุรกิจในระยะใกล้ (รอยเตอร์)
3. รายได้จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรของจีนเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24.3 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 51
ก.ศุลกากรของจีนเปิดเผยว่า รายได้จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรของจีนในปี 50 เพิ่มขึ้นสูงถึง 758.5 พันล. หยวน (104 พันล.ดอลลาร์ สรอ.)
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 จากปีก่อนหน้าเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 22 ในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้เนื่องจากการค้าขยายตัวอย่างมาก ประกอบกับการจัดเก็บ
ค่าธรรมเนียมและภาษีใหม่หลายรายการที่มีผลบังคับใช้แล้ว ขณะเดียวกันการบริโภคในประเทศก็ขยายตัวอย่างมาก การลงทุน และการส่งออก
มีส่วนช่วยผลักดันให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นอย่างมากดังกล่าว ประกอบกับการนำเข้าสินค้าทำสถิติสูงสุดถึงร้อยละ 20.5 เมื่อ
11 เดือนแรกปีที่แล้ว ขณะที่การดำเนินนโยบายใหม่ๆเมื่อเร็วๆนี้ของทางการที่มีเป้าหมายที่จะลดการเกินดุลการค้าจำนวนมหาศาลของจีนลงก็มี
ส่วนสนับสนุนให้การจัดเก็บรายได้ศุลกากรในช่วง 11 เดือนแรกปีที่แล้วเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 52 อยู่ที่ระดับ 238.1 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
รวมทั้งการเพิ่มภาษีที่จัดเก็บจากการส่งออกสินค้าที่ใช้พลังงานสูงและการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภาษีการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
เพิ่มขึ้นประมาณ 20 พัน ล. หยวน (รอยเตอร์)
4. การส่งออกของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 5.7 เทียบต่อปี รายงาน
จากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 7 ม.ค.50 รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า การส่งออกของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 มีจำนวน 54.4 พัน ล.ริงกิต
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เทียบต่อปี น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเดือน ต.ค.50 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 (ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน
พ.ย.49 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4) แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เทียบต่อปี ขณะที่การนำเข้าของมาเลเซีย
(ซึ่งประมาณ 3 ใน 4 ส่วนใช้เพื่อผลิตและส่งออก) ในเดือน พ.ย.50 มีจำนวน 43.9 พัน ล.ริงกิต หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เทียบต่อปี
ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6.8 ส่งผลให้มาเลเซียเกินดุลการค้าในเดือน พ.ย.50 จำนวน 10.4 พัน ล.ริงกิต
(3.17 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) หรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 เทียบต่อปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเกินดุลจำนวน 9.1 พัน ล.ริงกิต ทั้งนี้
การส่งออกของมาเลเซียในเดือน พ.ย.50 ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการปาล์มน้ำมันและน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ยอดส่งออก
สินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ชะลอตัว อนึ่ง ตลาดส่งออกสินค้าของมาเลเซียไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียนและจีนในเดือน พ.ย.ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ยอดส่งออกไปยังประเทศ สรอ. และ สหภาพยุโรปชะลอลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 ม.ค. 51 7 ม.ค. 51 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.361 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.1684/33.5005 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.33766 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 808.31/15.47 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,450/13,550 13,400/13,500 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 91.72 92.06 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.69*/29.74** 33.29/29.74** 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 8 ม.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 3 ม.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--