นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงผล การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจ และแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1. ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4.4 สูงกว่าคาดและเร่งตัวจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสแรก ท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมัน ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่ เข้มแข็งและสามารถรองรับผลกระทบได้ดีพอควร คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้ต่อไป โดยเฉพาะเมื่อมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากแนวโน้มการส่งออกและการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน
2. ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสูงมากในครึ่งแรกของปี แต่เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งจากแนวโน้มการส่งออก ที่สูงขึ้นและการชะลอตัวของการนำเข้า คาดว่าในครึ่งหลังของปีดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล แต่เมื่อรวมทั้งปีแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2548 ก็จะยังคงขาดดุลและมีแนวโน้มที่จะขาดดุลต่อไปอีกในปี 2549
3. อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นชัดเจนทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป มีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่งหรืออาจจะ เพิ่มขึ้นอีกหากราคาน้ำมันสูงขึ้นกว่านี้
4. คณะกรรมการฯ เห็นว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี รวมทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดมี แนวโน้มที่จะขาดดุลในปีนี้และปีหน้าต่อไป ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงิน เฟ้อพื้นฐานให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนด และเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อ การดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ อันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ร้อยละ 0.50 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปี โดยมีผลทันที
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4.4 สูงกว่าคาดและเร่งตัวจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสแรก ท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมัน ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่ เข้มแข็งและสามารถรองรับผลกระทบได้ดีพอควร คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้ต่อไป โดยเฉพาะเมื่อมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากแนวโน้มการส่งออกและการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน
2. ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสูงมากในครึ่งแรกของปี แต่เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งจากแนวโน้มการส่งออก ที่สูงขึ้นและการชะลอตัวของการนำเข้า คาดว่าในครึ่งหลังของปีดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล แต่เมื่อรวมทั้งปีแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2548 ก็จะยังคงขาดดุลและมีแนวโน้มที่จะขาดดุลต่อไปอีกในปี 2549
3. อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นชัดเจนทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป มีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่งหรืออาจจะ เพิ่มขึ้นอีกหากราคาน้ำมันสูงขึ้นกว่านี้
4. คณะกรรมการฯ เห็นว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี รวมทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดมี แนวโน้มที่จะขาดดุลในปีนี้และปีหน้าต่อไป ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงิน เฟ้อพื้นฐานให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนด และเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อ การดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ อันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ร้อยละ 0.50 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปี โดยมีผลทันที
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณผจงจิต จิตตะมัย โทร 0 2283 5621 e-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--