ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องประเมินจากภาพรวมของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผอส.ฝ่าย
เศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวว่า การพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ต้องพิจารณา โดยประเมินจากภาพรวมของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อว่ายังอยู่ในเป้าหมายหรือไม่ และยังต้องพิจารณาด้วยว่ามาตรการอื่นของ
รัฐจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้น หากเงินเฟ้อไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวล และภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เพียงพอ
กนง. ก็สามารถใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อช่วยสนับสนุนได้ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวในช่วงนี้เป็นสิ่งที่ กนง. คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว โดย
ตลอดทั้งไตรมาสแรกของปีนี้เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้และเศรษฐกิจขยายตัวได้พอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ดอกเบี้ย
กระตุ้นเศรษฐกิจอีก (มติชน)
2. การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินในไตรมาสแรกปีนี้ยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ธปท. รายงานแนวโน้มสินเชื่อของสถาบัน
การเงินในปีนี้พบว่า ในไตรมาสแรกทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนยังมีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีก่อน โดยภาคธุรกิจอยู่ที่
ระดับร้อยละ 40.6 ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ อยู่ที่ร้อยละ 37.5 และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที่ร้อยละ 44.1 ขณะที่ความ
ต้องการสินเชื่อภาคครัวเรือนทั้งสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และวัตถุประสงค์อื่น ๆ มีความต้องการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่ง
ที่ทำให้สินเชื่อขยายตัวได้น้อยน่าจะเป็นเพราะสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อระยะยาวและสินเชื่อ
ที่ให้แก่ธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก ส่วนสินเชื่อภาคครัวเรือนจะห่วงคุณภาพ ทั้งนี้ สถาบันการเงิน
มีต้นทุนการดำรงเงินกองทุนที่สูงขึ้นตาม IAS39 และต้องเตรียมตัวรองรับการใช้เกณฑ์บาเซิล 2 จึงปรับเงื่อนไขการให้สินเชื่อเข้มงวดขึ้น
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, มติชน)
3. ภาคธุรกิจยังมีความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น นายอัศวิน อาฮูยา ผู้บริหารทีม ทีมกลยุทธ์นโยบายการเงิน สายนโยบาย
การเงิน ธปท. กล่าวในการสัมมนาเรื่อง การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคภายใต้เศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ
ธปท. ในขณะนี้เป็นไปค่อนข้างยาก จากการสำรวจความเห็นนักธุรกิจพบว่าร้อยละ 46 มีความเป็นห่วงว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม
ความเสี่ยงเสถียรภาพด้านราคาน่าจะเป็นภาวะชั่วคราว หากเศรษฐกิจชะลอตัวตามไปด้วยเงินเฟ้อทั้งโลกน่าจะลดตาม โดยเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่
ร้อยละ 2.8 — 4.0 ตามกรอบที่วางไว้ ดังนั้น นโยบายการเงินน่าจะเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ธปท. จะต้องดูแลอัตรา
การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่มีสัญญาณดีขึ้น หากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นโยบายด้านอัตราดอกเบี้ยก็ต้องสนับสนุนด้วย ทั้งนี้ หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงพบว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยต่ำสุดในภูมิภาค
แต่ก็ยังมีช่องว่างที่จะลดดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2 เดือน ติดลบมานานพอสมควร ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็ลดลง
ต่อเนื่อง สำหรับการลงทุนรัฐต้องเพิ่มการลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะที่ผ่านมาการลงทุนไม่ขยายตัว (โพสต์ทูเดย์)
4. มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้จีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ร้อยละ 5.5 นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง
(สศค.) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5 — 5.5 แต่จากข้อมูลเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุด รวมถึงการ
ที่รัฐบาลออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่ามีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ร้อยละ 5.5 นอกจากนี้ รัฐบาล
ยังมีนโยบายที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง เช่น การจัดทำรายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณกลาง การเร่งส่งเสริมการลงทุนภาครัฐและ
เอกชน การเร่งส่งออกไปยังตลาดใหม่ และการหารายได้จากการท่องเที่ยว ทั้งนี้ สศค. ได้ทำบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวคิดการขึ้นเงินเดือน
ข้าราชการ หากรัฐขึ้นเงินเดือนข้าราชการได้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ประชาชนที่มีรายได้ปานกลาง สนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัว
ได้ต่อเนื่อง แต่ก็อาจเป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้สูงขึ้นได้ด้วย โดยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 4.9 ส่วนทั้งปี
คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 4 (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของประเทศในอาเซียนทำให้การดำเนินนโยบายการเงินมีข้อจำกัด รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 51
นาย Haruhiko Kuroda ประธาน ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank — ADB) กล่าวในการสัมมนาธุรกิจในบรัสเซลว่า
อัตราเงินเฟ้อในเอเซียส่วนใหญ่เกิดจากการสูงขึ้นของราคาอาหารและต้นทุนพลังงาน ซึ่งทำให้ทางเลือกในการดำเนินนโยบายทางการเงินของ
เอเชียมีข้อจำกัด รวมทั้งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียก็ยังคงเติบโตอย่าง
แข็งแกร่ง โดย Kuroda ได้กระตุ้นให้ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียดำเนินนโยบายการเงิน การคลัง และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนร่วมกัน
เพื่อที่จะขจัดความเสี่ยงอันเป็นผลจากภาวะชะงักงันของเศรษฐกิจจากภายนอกภูมิภาค เพื่อว่าเศรษฐกิจอาเซียนจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้
ทั้งนี้ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเซียจำเป็นต้องบริหารจัดการเศรษฐกิจให้เติบโตภายใต้ภาวะชะงักงันของเศรษฐกิจภายนอกเพื่อลดความเสี่ยง
รวมทั้งควรที่จะพัฒนาตลาดพันธบัตรให้ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งอันจะส่งผลให้การออมนำไปสู่การลงทุน ทั้งนี้ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มี
จำนวนมากจะส่งผลให้ประเทศอาเซียนบางประเทศเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งผ่านพ้นภาวะชะงักงันได้ (รอยเตอร์)
2. เดือน ก.พ.51 จีนเกินดุลการค้าลดลงมากเหลือ 8.56 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า
3 ปี รายงานจากปักกิ่งเมื่อ 10 มี.ค.51 ทางการจีนเปิดเผยว่า ดุลการค้าของจีนในเดือน ก.พ.51 อยู่ที่ระดับ 8.56 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดุลการค้าอยู่ที่ 19.5 และ 23.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ตามลำดับ
และเป็นการลดลงในระดับที่ต่ำกว่ามากจากความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดว่าดุลการค้าจะอยู่ที่ 21.9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. สาเหตุ
จากการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35.1 อันเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบและวัตถุดิบนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 6.5 เทียบต่อปี อย่างไรก็ตาม The National Bureau of Statistics เปิดเผยตัวเลข ดัชนีราคาผู้ผลิตในช่วง 12 เดือน
สิ้นสุดเดือน ก.พ.51 พบว่า เพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 6.6 เมื่อเทียบกับระดับร้อยละ 6.1 ในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดเดือน ม.ค.51 นับเป็นการ
เพิ่มขึ้นที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า3 ปีนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.47 และเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 6.5
(รอยเตอร์)
3. ในเดือน ก.พ.51 ดัชนีราคาผู้ผลิตของเกาหลีใต้สูงขึ้นร้อยละ 6.8 ต่อปีสูงสุดในรอบ 39 เดือน รายงานจากโซล เมื่อ
10 มี.ค.51 ธ.กลางเกาหลีใต้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิตซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดแนวโน้มดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6.8 ต่อปี
สูงสุดในรอบกว่า 3 ปีนับตั้งแต่เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันเมื่อเดือน พ.ย.47 หลังจากสูงขึ้นร้อยละ 5.9 ต่อปีในเดือน ม.ค.51 โดยดัชนีราคา
ผู้ผลิตดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาหลังจากเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ร้อยละ 1.7 ต่อปีในเดือน ส.ค.50
ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมเมื่อวันที่ 7 มี.ค.51 ที่ผ่านมาซึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปีเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดไว้ (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางสิงคโปร์ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ลดเหลือร้อยละ 5.7 ต่อปี รายงาน
จากสิงคโปร์ เมื่อ 10 มี.ค.51 ธ.กลางสิงคโปร์ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ลดเหลือร้อยละ 5.7 ต่อปี
ตามผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชน จากร้อยละ 6.3 ต่อปีในผลสำรวจครั้งก่อน และคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ในปีนี้จะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 5.6 ต่อปีหลังจากขยายตัวในปีก่อนร้อยละ 7.7 ต่อปี โดยคาดว่าภาคการก่อสร้างจะมีอัตราการขยายตัวสูงสุด
คือร้อยละ 15.9 ต่อปี ตามมาด้วยภาคบริการการเงินที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.5 ต่อปี ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะขยายตัว
ในอัตราต่ำสุดเพียงร้อยละ 4.4 ต่อปี ก่อนที่จะฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้ายซึ่งคาดว่าจะขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบปีที่ร้อยละ 6.8 ต่อปี นอกจากนี้
ยังคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 มี.ค. 51 10 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.534 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3096/31.6443 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25750 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 806.65/15.94 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,550/14,650 14,500/14,600 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 95.32 96.33 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.59*/29.94* 33.59*/29.94* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 28 ก.พ. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องประเมินจากภาพรวมของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผอส.ฝ่าย
เศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวว่า การพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ต้องพิจารณา โดยประเมินจากภาพรวมของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อว่ายังอยู่ในเป้าหมายหรือไม่ และยังต้องพิจารณาด้วยว่ามาตรการอื่นของ
รัฐจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้น หากเงินเฟ้อไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวล และภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เพียงพอ
กนง. ก็สามารถใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อช่วยสนับสนุนได้ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวในช่วงนี้เป็นสิ่งที่ กนง. คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว โดย
ตลอดทั้งไตรมาสแรกของปีนี้เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้และเศรษฐกิจขยายตัวได้พอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ดอกเบี้ย
กระตุ้นเศรษฐกิจอีก (มติชน)
2. การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินในไตรมาสแรกปีนี้ยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ธปท. รายงานแนวโน้มสินเชื่อของสถาบัน
การเงินในปีนี้พบว่า ในไตรมาสแรกทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนยังมีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีก่อน โดยภาคธุรกิจอยู่ที่
ระดับร้อยละ 40.6 ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ อยู่ที่ร้อยละ 37.5 และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที่ร้อยละ 44.1 ขณะที่ความ
ต้องการสินเชื่อภาคครัวเรือนทั้งสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และวัตถุประสงค์อื่น ๆ มีความต้องการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่ง
ที่ทำให้สินเชื่อขยายตัวได้น้อยน่าจะเป็นเพราะสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อระยะยาวและสินเชื่อ
ที่ให้แก่ธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก ส่วนสินเชื่อภาคครัวเรือนจะห่วงคุณภาพ ทั้งนี้ สถาบันการเงิน
มีต้นทุนการดำรงเงินกองทุนที่สูงขึ้นตาม IAS39 และต้องเตรียมตัวรองรับการใช้เกณฑ์บาเซิล 2 จึงปรับเงื่อนไขการให้สินเชื่อเข้มงวดขึ้น
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, มติชน)
3. ภาคธุรกิจยังมีความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น นายอัศวิน อาฮูยา ผู้บริหารทีม ทีมกลยุทธ์นโยบายการเงิน สายนโยบาย
การเงิน ธปท. กล่าวในการสัมมนาเรื่อง การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคภายใต้เศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ
ธปท. ในขณะนี้เป็นไปค่อนข้างยาก จากการสำรวจความเห็นนักธุรกิจพบว่าร้อยละ 46 มีความเป็นห่วงว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม
ความเสี่ยงเสถียรภาพด้านราคาน่าจะเป็นภาวะชั่วคราว หากเศรษฐกิจชะลอตัวตามไปด้วยเงินเฟ้อทั้งโลกน่าจะลดตาม โดยเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่
ร้อยละ 2.8 — 4.0 ตามกรอบที่วางไว้ ดังนั้น นโยบายการเงินน่าจะเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ธปท. จะต้องดูแลอัตรา
การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่มีสัญญาณดีขึ้น หากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นโยบายด้านอัตราดอกเบี้ยก็ต้องสนับสนุนด้วย ทั้งนี้ หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงพบว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยต่ำสุดในภูมิภาค
แต่ก็ยังมีช่องว่างที่จะลดดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2 เดือน ติดลบมานานพอสมควร ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็ลดลง
ต่อเนื่อง สำหรับการลงทุนรัฐต้องเพิ่มการลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะที่ผ่านมาการลงทุนไม่ขยายตัว (โพสต์ทูเดย์)
4. มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้จีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ร้อยละ 5.5 นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง
(สศค.) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5 — 5.5 แต่จากข้อมูลเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุด รวมถึงการ
ที่รัฐบาลออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่ามีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ร้อยละ 5.5 นอกจากนี้ รัฐบาล
ยังมีนโยบายที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง เช่น การจัดทำรายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณกลาง การเร่งส่งเสริมการลงทุนภาครัฐและ
เอกชน การเร่งส่งออกไปยังตลาดใหม่ และการหารายได้จากการท่องเที่ยว ทั้งนี้ สศค. ได้ทำบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวคิดการขึ้นเงินเดือน
ข้าราชการ หากรัฐขึ้นเงินเดือนข้าราชการได้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ประชาชนที่มีรายได้ปานกลาง สนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัว
ได้ต่อเนื่อง แต่ก็อาจเป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้สูงขึ้นได้ด้วย โดยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 4.9 ส่วนทั้งปี
คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 4 (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของประเทศในอาเซียนทำให้การดำเนินนโยบายการเงินมีข้อจำกัด รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 51
นาย Haruhiko Kuroda ประธาน ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank — ADB) กล่าวในการสัมมนาธุรกิจในบรัสเซลว่า
อัตราเงินเฟ้อในเอเซียส่วนใหญ่เกิดจากการสูงขึ้นของราคาอาหารและต้นทุนพลังงาน ซึ่งทำให้ทางเลือกในการดำเนินนโยบายทางการเงินของ
เอเชียมีข้อจำกัด รวมทั้งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียก็ยังคงเติบโตอย่าง
แข็งแกร่ง โดย Kuroda ได้กระตุ้นให้ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียดำเนินนโยบายการเงิน การคลัง และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนร่วมกัน
เพื่อที่จะขจัดความเสี่ยงอันเป็นผลจากภาวะชะงักงันของเศรษฐกิจจากภายนอกภูมิภาค เพื่อว่าเศรษฐกิจอาเซียนจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้
ทั้งนี้ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเซียจำเป็นต้องบริหารจัดการเศรษฐกิจให้เติบโตภายใต้ภาวะชะงักงันของเศรษฐกิจภายนอกเพื่อลดความเสี่ยง
รวมทั้งควรที่จะพัฒนาตลาดพันธบัตรให้ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งอันจะส่งผลให้การออมนำไปสู่การลงทุน ทั้งนี้ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มี
จำนวนมากจะส่งผลให้ประเทศอาเซียนบางประเทศเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งผ่านพ้นภาวะชะงักงันได้ (รอยเตอร์)
2. เดือน ก.พ.51 จีนเกินดุลการค้าลดลงมากเหลือ 8.56 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า
3 ปี รายงานจากปักกิ่งเมื่อ 10 มี.ค.51 ทางการจีนเปิดเผยว่า ดุลการค้าของจีนในเดือน ก.พ.51 อยู่ที่ระดับ 8.56 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดุลการค้าอยู่ที่ 19.5 และ 23.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ตามลำดับ
และเป็นการลดลงในระดับที่ต่ำกว่ามากจากความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดว่าดุลการค้าจะอยู่ที่ 21.9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. สาเหตุ
จากการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35.1 อันเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบและวัตถุดิบนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 6.5 เทียบต่อปี อย่างไรก็ตาม The National Bureau of Statistics เปิดเผยตัวเลข ดัชนีราคาผู้ผลิตในช่วง 12 เดือน
สิ้นสุดเดือน ก.พ.51 พบว่า เพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 6.6 เมื่อเทียบกับระดับร้อยละ 6.1 ในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดเดือน ม.ค.51 นับเป็นการ
เพิ่มขึ้นที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า3 ปีนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.47 และเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 6.5
(รอยเตอร์)
3. ในเดือน ก.พ.51 ดัชนีราคาผู้ผลิตของเกาหลีใต้สูงขึ้นร้อยละ 6.8 ต่อปีสูงสุดในรอบ 39 เดือน รายงานจากโซล เมื่อ
10 มี.ค.51 ธ.กลางเกาหลีใต้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิตซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดแนวโน้มดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6.8 ต่อปี
สูงสุดในรอบกว่า 3 ปีนับตั้งแต่เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันเมื่อเดือน พ.ย.47 หลังจากสูงขึ้นร้อยละ 5.9 ต่อปีในเดือน ม.ค.51 โดยดัชนีราคา
ผู้ผลิตดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาหลังจากเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ร้อยละ 1.7 ต่อปีในเดือน ส.ค.50
ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมเมื่อวันที่ 7 มี.ค.51 ที่ผ่านมาซึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปีเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดไว้ (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางสิงคโปร์ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ลดเหลือร้อยละ 5.7 ต่อปี รายงาน
จากสิงคโปร์ เมื่อ 10 มี.ค.51 ธ.กลางสิงคโปร์ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ลดเหลือร้อยละ 5.7 ต่อปี
ตามผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชน จากร้อยละ 6.3 ต่อปีในผลสำรวจครั้งก่อน และคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ในปีนี้จะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 5.6 ต่อปีหลังจากขยายตัวในปีก่อนร้อยละ 7.7 ต่อปี โดยคาดว่าภาคการก่อสร้างจะมีอัตราการขยายตัวสูงสุด
คือร้อยละ 15.9 ต่อปี ตามมาด้วยภาคบริการการเงินที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.5 ต่อปี ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะขยายตัว
ในอัตราต่ำสุดเพียงร้อยละ 4.4 ต่อปี ก่อนที่จะฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้ายซึ่งคาดว่าจะขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบปีที่ร้อยละ 6.8 ต่อปี นอกจากนี้
ยังคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 มี.ค. 51 10 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.534 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3096/31.6443 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25750 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 806.65/15.94 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,550/14,650 14,500/14,600 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 95.32 96.33 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.59*/29.94* 33.59*/29.94* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 28 ก.พ. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--