ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นางศิริพรรณ นาครทรรพ ผู้บริหารทีม
วิเคราะห์เศรษฐกิจ ฝ่ายเศรษฐกิจภายในประเทศ ธปท. ได้ออกบทความเรื่อง นโยบายพลังงานในยุคน้ำมันแพง โดยระบุว่า จากราคาน้ำมันดิบ
ดูไบที่สูงถึง 109 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแตะระดับ 120 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลภายในปีนี้ ทำให้เริ่มมีความ
วิตกกังวลว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและจะคงตัวอยู่ในระดับสูง จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการ
ฟื้นตัวของอุปสงค์การอุปโภคบริโภคในประเทศที่เริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 ปีก่อน และต่อเนื่องในเดือนแรกของปีนี้ และอาจจะส่งผลกระทบต่อเนื่อง
ถึงภาคการผลิตและการจ้างงาน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงอาจจะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงมากขึ้น
ดังนั้น นโยบายการแก้ปัญหาพลังงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ต้องคำนึงถึงผลระยะยาวและอิงกับกลไกตลาดให้มากที่สุด โดยการใช้นโยบาย
พลังงานทางเลือกเป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการ แต่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบข้างเคียงต่อราคาพืชพลังงานที่อาจจะกระทบต่อราคา
อาหารของประเทศ ขณะที่การดูแลกลุ่มประชาชนที่อ่อนแอเป็นพิเศษให้มีเวลาปรับตัวรับราคาน้ำมันแพงก็เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ อย่างไรก็ตาม
การเข้าไปชดเชยราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ควรทำเฉพาะที่จำเป็นและชั่วคราวเพื่อบรรเทาผลกระทบจากน้ำมันแพง แต่ไม่ควรทำ
เป็นระยะเวลานาน เพราะนอกจากจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากแล้ว ยังส่งผลให้ภาคการผลิตไม่มีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ซึ่งในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ ขณะที่ทางแก้ในระยะยาวคือการจัดสรรงบประมาณการลงทุนในด้าน
การประหยัดพลังงานระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต และส่งเสริม
ให้ประชาชนประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย(ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังเตรียมประเมินเศรษฐกิจใหม่หลังการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สนง.เศรษฐกิจ
การคลัง เปิดเผยว่า ปลายเดือน มี.ค.นี้จะประกาศประมาณการตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าการขยายตัว
ของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้าที่ร้อยละ 4.5 — 5.5 เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาพิจารณาประกอบด้วย ส่วนจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึงร้อยละ 6 หรือไม่ ต้องพิจารณาจากข้อมูล
ที่แท้จริงว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐเสียรายได้และเก็บรายได้เพิ่มเท่าไร และจะสนับสนุนการลงทุนให้ขยายตัวมากน้อยเพียงใด ขณะที่
การประมาณการเศรษฐกิจมีปัจจัยลบเพิ่มมากขึ้น โดยเรื่องค่าเงินบาทที่หลายฝ่ายมองว่าแข็งขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะกระทบต่อการส่งออก แต่เป็น
ผลดีต่อการนำเข้าสินค้าทุนและพลังงานเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้เดิมว่า
จะอยู่ที่ 80 — 85 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้พุ่งขึ้นมากว่า 100 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ทำให้ต้องประเมินอีกครั้งว่าจะทำให้
อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 4 หรือไม่ เพราะปัจจัยต่าง ๆ ส่งทั้งผลดีและผลเสีย (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์,
เดลินิวส์)
3. ก.คลังเตรียมออกพันธบัตรอายุ 30 ปี เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการพื้นฐานระบบขนส่ง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์
ผอ.สำนักบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวว่า ก.คลังเตรียมออกพันธบัตรอายุ 30 ปี เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ซึ่งถือเป็น
ครั้งแรกที่ ก.คลังออกพันธบัตรระยะเวลายาวนานที่สุด โดยวงเงินเบื้องต้นตั้งไว้ 5 พันล้านบาท แยกออกในช่วงเดือน เม.ย.51 จำนวน
2.5 พันล้านบาท และอีก 2.5 พันล้านบาท ในเดือน มิ.ย.51 และเชื่อว่าพันธบัตรจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากคาดว่าดอกเบี้ย
น่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.1 — 5.2 โดยเบื้องต้นเป็นการออกโดยอาศัยวงเงินขาดดุลงบประมาณปี 2551 ไปก่อนและอาจจะมีวงเงินเพิ่มเติม
หากมีการจัดทำงบกลางปีเพิ่มเติมเพื่อประหยัดดอกเบี้ยในระหว่างที่ยังไม่มีการลงทุนที่ชัดเจน (โพสต์ทูเดย์)
4. เอฟดีไอเดือน ม.ค.-ก.พ.51 มีมูลค่ารวมกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.4 จากปีก่อน นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) เดือน ม.ค. — ก.พ.51
มีทั้งสิ้น 167 โครงการ มูลค่ารวม 53,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าเงินลงทุน 32,959 ล้านบาท
โดยประเภทกิจการที่ได้รับความสนใจสูงสุด ได้แก่ กิจการบริการและสาธารณูปโภค รองลงมาคือกิจการประเภทผลิตภัณฑ์โลหะและอุปกรณ์ขนส่ง
อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
และเชื่อว่านโยบายของรัฐบาลที่ประกาศเป็น Thailand Investment Year จะช่วยผลักดันให้การลงทุนของไทยเพิ่มขึ้นอีกมาก รองรับ
เป้าหมายของรัฐบาลให้เกิดมูลค่าการลงทุนในไทยเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาท ภายใน 2 ปี สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงสุด
ได้แก่ ญี่ปุ่น 63 โครงการ มูลค่าการลงทุน 10,950 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนจากยุโรปมีมูลค่ารวมกว่า 9,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสามเท่าจาก
ช่วงเดียวกันของปีก่อน (มติชน, เดลินิวส์, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ภาคธุรกิจส่วนใหญ่เห็นว่าเศรษฐกิจ สรอ.เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 มี.ค.51 ดัชนีชี้
วัดความเชื่อมั่นจากผลสำรวจความเห็นของหัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงินของภาคธุรกิจจำนวน 1,073 คน โดยในจำนวนนี้ 475 คนอยู่ใน สรอ.
โดยมหาวิทยาลัยดุคร่วมกับนิตยสาร CFO ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 52 ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวมีค่า
ระหว่าง 1 ถึง 100 โดยร้อยละ 54 ของผู้ถูกสำรวจเห็นว่าเศรษฐกิจ สรอ.อยู่ในภาวะถดถอยแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 24 เห็นว่าเศรษฐกิจ
สรอ.จะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปีนี้ โดยร้อยละ 90 ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจ สรอ.จะฟื้นจากภาวะถดถอยได้ภายในปีนี้ โดยส่วนใหญ่เชื่อว่า
เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในปลายปีหน้า และผู้ถูกสำรวจส่วนใหญ่บอกว่าธุรกิจที่ตนทำงานอยู่ได้ชะลอแผนการลงทุนและการจ้างงานเพิ่มซึ่งส่วนหนึ่ง
เป็นผลจากค่าแรงที่สูงขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจโดยรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ที่ชี้ว่ามีโอกาสร้อยละ 60 ที่เศรษฐกิจ สรอ.จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้
เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 45 ในผลสำรวจครั้งก่อน (รอยเตอร์)
2. ผู้ประกอบการภาคการผลิต สรอ.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ สรอ.ในปี 51 มีแนวโน้มชะลอลง รายงานจากวอชิงตันเมื่อ
12 มี.ค.51 The National Association of Manufacturers (NAM) เปิดเผยการประเมินเศรษฐกิจและภาคการผลิตของ สรอ.
ในปี 51 ว่า มีแนวโน้มชะลอลงแต่ยังคงเชื่อว่าจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยมาก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 7 สูงกว่าเกือบ 2 เท่าของการนำเข้าซึ่งคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3 สำหรับภาคการผลิตคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 ชะลอลง
เล็กน้อยจากการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ NAM ได้คาดการณ์จีดีพีทั้งปี 51 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.1 ต่ำสุดนับตั้งแต่
ปี 44 ส่วนจีดีพีในช่วงไตรมาสแรกปี 51 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.6 สาเหตุจากการชะลอตัวของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การส่งออก
และการลงทุนในธุรกิจ และคาดว่าจะขยายตัวชะลอลงอีกในไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.2 ต่อเนื่องถึงไตรมาสสุดท้ายของปี สาเหตุจากอัตรา
การว่างงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 5.7 เนื่องจากข้อมูลของ ก.แรงงาน รายงานว่าผู้ประกอบการ สรอ.มีการลดจำนวนแรงงาน
ลง 63,000 อัตราในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี และต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยอัตราการว่างงาน
ในเดือน ก.พ.อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.8 อนึ่ง NAM ประเมินว่า สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ สรอ.อาจเป็นปัจจัยให้ ธ.กลาง
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ในช่วงครึ่งแรกของปี (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ม.ค.51 ผลผลิตอุตสาหกรรมใน Euro zone เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 12 มี.ค.51
Eurostat รายงานผลผลิตอุตสาหกรรมใน Euro zone ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรวม 15 ประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อเดือนและ
ร้อยละ 3.8 ต่อปี ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ต่อเดือนและร้อยละ 2.6 ต่อปี ในขณะเดียวกัน Eurostat ได้ปรับเพิ่มตัวเลข
ผลผลิตในเดือน ธ.ค.50 จากลดลงร้อยละ 0.2 ต่อเดือน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ต่อปีเป็นคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบต่อเดือนและเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.7 ต่อปี ทั้งนี้ ผลผลิตสินค้าทุนมีอัตราการขยายตัวสูงสุดคือร้อยละ 2.7 ต่อเดือนและร้อยละ 7.5 ต่อปี ในขณะที่ผลผลิตด้านพลังงาน
ลดลงร้อยละ 2.9 ต่อเดือนแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 เมื่อเทียบต่อปี โดยผลผลิตของเยอรมนีซึ่งเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ที่สุดใน Euro zone เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.3 ต่อเดือน เท่ากับผลผลิตของอิตาลี ในขณะที่ผลผลิตของฝรั่งเศสซึ่งเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือน
แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางคนเห็นว่าเศรษฐกิจของ Euro zone ยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงจากปัญหาสินเชื่อในตลาดการเงิน
การชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ราคาน้ำมันและค่าเงินยูโรที่สูงขึ้น โดยคณะกรรมาธิการสภายุโรปได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจในปีนี้ของ Euro zone ลงเหลือร้อยละ 1.8 จากประมาณการครั้งก่อนร้อยละ 2.2 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิมต่อไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปีหน้า รายงานจากโตเกียว เมื่อ
วันที่ 12 มี.ค. 51 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 41 คนโดยรอยเตอร์ในระหว่างวันที่ 7 — 12 มี.ค. คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ร้อยละ 0.5 ต่อไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปีหน้าจึงจะปรับเพิ่มอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่ร้อยละ 0.75 แม้ว่า
อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นก็ตาม เนื่องจากปัญหาความยุ่งยากในตลาดการเงิน และความกลัวว่าเศรษฐกิจ สรอ. จะถดถอย ทั้งนี้ความวิตกดังกล่าว
ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ขณะเดียวกันการสูงถึงของต้นทุนวัตถุดิบกดดัน ธ.กลางญี่ปุ่นที่ต้องควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
ในระยะเวลาอันใกล้นี้ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้วย ซึ่งนาย Takumi Tsunoda นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัย
Shinkin Central Bank เห็นว่าแม้ว่าเศรษฐกิจ สรอ. จะชะลอตัวแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นการยากที่ ธ.กลางญี่ปุ่นจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบการส่งออกที่อ่อนตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจ สรอ. ชะลอลง ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์
หลายคนมีความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ถึงร้อยละ 60 ที่เศรษฐกิจ สรอ. ในปีนี้จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 มี.ค. 51 12 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.568 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3407/31.6767 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25438 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 827.00/20.74 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,600/14,700 14,500/14,600 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 98.08 96.79 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 34.09*/29.94 33.59/29.94 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 13 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นางศิริพรรณ นาครทรรพ ผู้บริหารทีม
วิเคราะห์เศรษฐกิจ ฝ่ายเศรษฐกิจภายในประเทศ ธปท. ได้ออกบทความเรื่อง นโยบายพลังงานในยุคน้ำมันแพง โดยระบุว่า จากราคาน้ำมันดิบ
ดูไบที่สูงถึง 109 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแตะระดับ 120 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลภายในปีนี้ ทำให้เริ่มมีความ
วิตกกังวลว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและจะคงตัวอยู่ในระดับสูง จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการ
ฟื้นตัวของอุปสงค์การอุปโภคบริโภคในประเทศที่เริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 ปีก่อน และต่อเนื่องในเดือนแรกของปีนี้ และอาจจะส่งผลกระทบต่อเนื่อง
ถึงภาคการผลิตและการจ้างงาน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงอาจจะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงมากขึ้น
ดังนั้น นโยบายการแก้ปัญหาพลังงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ต้องคำนึงถึงผลระยะยาวและอิงกับกลไกตลาดให้มากที่สุด โดยการใช้นโยบาย
พลังงานทางเลือกเป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการ แต่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบข้างเคียงต่อราคาพืชพลังงานที่อาจจะกระทบต่อราคา
อาหารของประเทศ ขณะที่การดูแลกลุ่มประชาชนที่อ่อนแอเป็นพิเศษให้มีเวลาปรับตัวรับราคาน้ำมันแพงก็เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ อย่างไรก็ตาม
การเข้าไปชดเชยราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ควรทำเฉพาะที่จำเป็นและชั่วคราวเพื่อบรรเทาผลกระทบจากน้ำมันแพง แต่ไม่ควรทำ
เป็นระยะเวลานาน เพราะนอกจากจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากแล้ว ยังส่งผลให้ภาคการผลิตไม่มีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ซึ่งในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ ขณะที่ทางแก้ในระยะยาวคือการจัดสรรงบประมาณการลงทุนในด้าน
การประหยัดพลังงานระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต และส่งเสริม
ให้ประชาชนประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย(ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังเตรียมประเมินเศรษฐกิจใหม่หลังการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สนง.เศรษฐกิจ
การคลัง เปิดเผยว่า ปลายเดือน มี.ค.นี้จะประกาศประมาณการตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าการขยายตัว
ของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้าที่ร้อยละ 4.5 — 5.5 เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาพิจารณาประกอบด้วย ส่วนจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึงร้อยละ 6 หรือไม่ ต้องพิจารณาจากข้อมูล
ที่แท้จริงว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐเสียรายได้และเก็บรายได้เพิ่มเท่าไร และจะสนับสนุนการลงทุนให้ขยายตัวมากน้อยเพียงใด ขณะที่
การประมาณการเศรษฐกิจมีปัจจัยลบเพิ่มมากขึ้น โดยเรื่องค่าเงินบาทที่หลายฝ่ายมองว่าแข็งขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะกระทบต่อการส่งออก แต่เป็น
ผลดีต่อการนำเข้าสินค้าทุนและพลังงานเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้เดิมว่า
จะอยู่ที่ 80 — 85 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้พุ่งขึ้นมากว่า 100 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ทำให้ต้องประเมินอีกครั้งว่าจะทำให้
อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 4 หรือไม่ เพราะปัจจัยต่าง ๆ ส่งทั้งผลดีและผลเสีย (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์,
เดลินิวส์)
3. ก.คลังเตรียมออกพันธบัตรอายุ 30 ปี เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการพื้นฐานระบบขนส่ง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์
ผอ.สำนักบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวว่า ก.คลังเตรียมออกพันธบัตรอายุ 30 ปี เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ซึ่งถือเป็น
ครั้งแรกที่ ก.คลังออกพันธบัตรระยะเวลายาวนานที่สุด โดยวงเงินเบื้องต้นตั้งไว้ 5 พันล้านบาท แยกออกในช่วงเดือน เม.ย.51 จำนวน
2.5 พันล้านบาท และอีก 2.5 พันล้านบาท ในเดือน มิ.ย.51 และเชื่อว่าพันธบัตรจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากคาดว่าดอกเบี้ย
น่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.1 — 5.2 โดยเบื้องต้นเป็นการออกโดยอาศัยวงเงินขาดดุลงบประมาณปี 2551 ไปก่อนและอาจจะมีวงเงินเพิ่มเติม
หากมีการจัดทำงบกลางปีเพิ่มเติมเพื่อประหยัดดอกเบี้ยในระหว่างที่ยังไม่มีการลงทุนที่ชัดเจน (โพสต์ทูเดย์)
4. เอฟดีไอเดือน ม.ค.-ก.พ.51 มีมูลค่ารวมกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.4 จากปีก่อน นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) เดือน ม.ค. — ก.พ.51
มีทั้งสิ้น 167 โครงการ มูลค่ารวม 53,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าเงินลงทุน 32,959 ล้านบาท
โดยประเภทกิจการที่ได้รับความสนใจสูงสุด ได้แก่ กิจการบริการและสาธารณูปโภค รองลงมาคือกิจการประเภทผลิตภัณฑ์โลหะและอุปกรณ์ขนส่ง
อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
และเชื่อว่านโยบายของรัฐบาลที่ประกาศเป็น Thailand Investment Year จะช่วยผลักดันให้การลงทุนของไทยเพิ่มขึ้นอีกมาก รองรับ
เป้าหมายของรัฐบาลให้เกิดมูลค่าการลงทุนในไทยเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาท ภายใน 2 ปี สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงสุด
ได้แก่ ญี่ปุ่น 63 โครงการ มูลค่าการลงทุน 10,950 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนจากยุโรปมีมูลค่ารวมกว่า 9,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสามเท่าจาก
ช่วงเดียวกันของปีก่อน (มติชน, เดลินิวส์, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ภาคธุรกิจส่วนใหญ่เห็นว่าเศรษฐกิจ สรอ.เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 มี.ค.51 ดัชนีชี้
วัดความเชื่อมั่นจากผลสำรวจความเห็นของหัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงินของภาคธุรกิจจำนวน 1,073 คน โดยในจำนวนนี้ 475 คนอยู่ใน สรอ.
โดยมหาวิทยาลัยดุคร่วมกับนิตยสาร CFO ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 52 ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวมีค่า
ระหว่าง 1 ถึง 100 โดยร้อยละ 54 ของผู้ถูกสำรวจเห็นว่าเศรษฐกิจ สรอ.อยู่ในภาวะถดถอยแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 24 เห็นว่าเศรษฐกิจ
สรอ.จะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปีนี้ โดยร้อยละ 90 ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจ สรอ.จะฟื้นจากภาวะถดถอยได้ภายในปีนี้ โดยส่วนใหญ่เชื่อว่า
เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในปลายปีหน้า และผู้ถูกสำรวจส่วนใหญ่บอกว่าธุรกิจที่ตนทำงานอยู่ได้ชะลอแผนการลงทุนและการจ้างงานเพิ่มซึ่งส่วนหนึ่ง
เป็นผลจากค่าแรงที่สูงขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจโดยรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ที่ชี้ว่ามีโอกาสร้อยละ 60 ที่เศรษฐกิจ สรอ.จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้
เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 45 ในผลสำรวจครั้งก่อน (รอยเตอร์)
2. ผู้ประกอบการภาคการผลิต สรอ.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ สรอ.ในปี 51 มีแนวโน้มชะลอลง รายงานจากวอชิงตันเมื่อ
12 มี.ค.51 The National Association of Manufacturers (NAM) เปิดเผยการประเมินเศรษฐกิจและภาคการผลิตของ สรอ.
ในปี 51 ว่า มีแนวโน้มชะลอลงแต่ยังคงเชื่อว่าจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยมาก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 7 สูงกว่าเกือบ 2 เท่าของการนำเข้าซึ่งคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3 สำหรับภาคการผลิตคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 ชะลอลง
เล็กน้อยจากการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ NAM ได้คาดการณ์จีดีพีทั้งปี 51 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.1 ต่ำสุดนับตั้งแต่
ปี 44 ส่วนจีดีพีในช่วงไตรมาสแรกปี 51 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.6 สาเหตุจากการชะลอตัวของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การส่งออก
และการลงทุนในธุรกิจ และคาดว่าจะขยายตัวชะลอลงอีกในไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.2 ต่อเนื่องถึงไตรมาสสุดท้ายของปี สาเหตุจากอัตรา
การว่างงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 5.7 เนื่องจากข้อมูลของ ก.แรงงาน รายงานว่าผู้ประกอบการ สรอ.มีการลดจำนวนแรงงาน
ลง 63,000 อัตราในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี และต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยอัตราการว่างงาน
ในเดือน ก.พ.อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.8 อนึ่ง NAM ประเมินว่า สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ สรอ.อาจเป็นปัจจัยให้ ธ.กลาง
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ในช่วงครึ่งแรกของปี (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ม.ค.51 ผลผลิตอุตสาหกรรมใน Euro zone เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 12 มี.ค.51
Eurostat รายงานผลผลิตอุตสาหกรรมใน Euro zone ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรวม 15 ประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อเดือนและ
ร้อยละ 3.8 ต่อปี ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ต่อเดือนและร้อยละ 2.6 ต่อปี ในขณะเดียวกัน Eurostat ได้ปรับเพิ่มตัวเลข
ผลผลิตในเดือน ธ.ค.50 จากลดลงร้อยละ 0.2 ต่อเดือน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ต่อปีเป็นคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบต่อเดือนและเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.7 ต่อปี ทั้งนี้ ผลผลิตสินค้าทุนมีอัตราการขยายตัวสูงสุดคือร้อยละ 2.7 ต่อเดือนและร้อยละ 7.5 ต่อปี ในขณะที่ผลผลิตด้านพลังงาน
ลดลงร้อยละ 2.9 ต่อเดือนแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 เมื่อเทียบต่อปี โดยผลผลิตของเยอรมนีซึ่งเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ที่สุดใน Euro zone เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.3 ต่อเดือน เท่ากับผลผลิตของอิตาลี ในขณะที่ผลผลิตของฝรั่งเศสซึ่งเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือน
แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางคนเห็นว่าเศรษฐกิจของ Euro zone ยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงจากปัญหาสินเชื่อในตลาดการเงิน
การชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ราคาน้ำมันและค่าเงินยูโรที่สูงขึ้น โดยคณะกรรมาธิการสภายุโรปได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจในปีนี้ของ Euro zone ลงเหลือร้อยละ 1.8 จากประมาณการครั้งก่อนร้อยละ 2.2 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิมต่อไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปีหน้า รายงานจากโตเกียว เมื่อ
วันที่ 12 มี.ค. 51 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 41 คนโดยรอยเตอร์ในระหว่างวันที่ 7 — 12 มี.ค. คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ร้อยละ 0.5 ต่อไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปีหน้าจึงจะปรับเพิ่มอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่ร้อยละ 0.75 แม้ว่า
อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นก็ตาม เนื่องจากปัญหาความยุ่งยากในตลาดการเงิน และความกลัวว่าเศรษฐกิจ สรอ. จะถดถอย ทั้งนี้ความวิตกดังกล่าว
ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ขณะเดียวกันการสูงถึงของต้นทุนวัตถุดิบกดดัน ธ.กลางญี่ปุ่นที่ต้องควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
ในระยะเวลาอันใกล้นี้ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้วย ซึ่งนาย Takumi Tsunoda นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัย
Shinkin Central Bank เห็นว่าแม้ว่าเศรษฐกิจ สรอ. จะชะลอตัวแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นการยากที่ ธ.กลางญี่ปุ่นจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบการส่งออกที่อ่อนตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจ สรอ. ชะลอลง ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์
หลายคนมีความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ถึงร้อยละ 60 ที่เศรษฐกิจ สรอ. ในปีนี้จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 มี.ค. 51 12 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.568 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3407/31.6767 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25438 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 827.00/20.74 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,600/14,700 14,500/14,600 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 98.08 96.79 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 34.09*/29.94 33.59/29.94 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 13 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--