ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจะไม่กระทบเศรษฐกิจ นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า
แม้ ธปท. ได้ปรับกรอบคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4 — 5 เนื่องจากสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบที่สูงขึ้น แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทย
จะรับไหว เพราะในระยะต่อไปผู้ผลิตคงไม่ปล่อยให้ราคาสูงขึ้นตลอด หากสูงมากปริมาณการบริโภคย่อมลดลง จึงเชื่อว่าในระยะต่อไปราคา
คงสูงขึ้นจากปัจจุบันไม่มากนัก สำหรับราคาข้าวที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ เพราะในการคำนวณเงินเฟ้อสัดส่วนของข้าวคิดเป็น
ร้อยละ 2.5 ของการใช้จ่ายเท่านั้น ส่วนการที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะเกินเป้าหมายที่ร้อยละ 0 — 3.5 มีโอกาสเพียง 1 ใน 100 และมีการ
ประเมินทบทวนทุก 6 สัปดาห์ ซึ่งถ้าตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อเหมาะสมกับเศรษฐกิจแล้ว แต่มีแนวโน้มว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นก็คงมีการใช้อัตราดอกเบี้ย
เข้ามาดูแลเงินเฟ้อ แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาดอกเบี้ยมาดูแลเงินเฟ้ออย่างเดียว ต้องดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย ขณะที่สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ
และการเมืองเริ่มแข็งแรงกว่าในช่วง 2 — 3 ปีก่อน ทำให้ความเชื่อมั่นภายในประเทศดีขึ้น แม้จะควบคุมราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยภายนอกไม่ได้
แต่ก็ควรดูแลปัจจัยภายในประเทศให้ดีเพื่อรองรับผลกระทบให้มากที่สุด ซึ่งมองว่าขณะนี้รัฐบาลยังสามารถใช้งบประมาณขาดดุลหรืองบกลางปี
กระตุ้นเศรษฐกิจอีกได้ (โพสต์ทูเดย์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. ผ่อนผันให้ผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำใช้บัญชีเงินฝากขอถือบัตรเครดิตได้ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบาย
สถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกประกาศให้ ธ.พาณิชย์ทุกแห่งสามารถออกบัตรเครดิตให้กับผู้ที่ไม่มีเงินเดือนประจำได้ เพียง
แค่ใช้บัญชีเงินฝากประจำของ ธ.พาณิชย์ใด ๆ มาค้ำประกัน แต่ต้องมีเงินในบัญชีไม่น้อยกว่า 5 แสนบาท ในระยะเวลา 6 เดือนก่อนหน้ามา
เป็นหลักฐานในการขอมีบัตร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 19 เม.ย.นี้ ซึ่งเงื่อนไขใหม่นี้จะเปิดให้เป็นการทั่วไป จากเดิมที่อนุญาตให้ออก
บัตรเครดิตแก่ลูกค้าผู้มีเงินฝากที่มีบัญชีเงินฝากประจำเฉพาะธนาคารนั้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถไปขอออกที่ธนาคารอื่นได้ รวมถึงเปิดให้ใช้
หลักฐานเงินฝากประจำหรือเงินฝากออมทรัพย์ที่ ธ.พาณิชย์ใด ๆ หรือหลักฐานการลงทุนในตราสารหนี้ต่าง ๆ รวมทั้งการลงทุนในกองทุนรวม
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นหลักฐานยื่นขอออกบัตรเครดิตหลักได้ ทั้งนี้ ธปท. ต้องการ
ให้การออกบัตรเครดิตมีความคล่องตัวมากขึ้นและเอื้อให้ผู้มีรายได้ไม่แน่นอน แต่สามารถพิสูจน์ทรัพย์ได้ง่ายให้มีโอกาสถือบัตรเครดิตได้มากขึ้น
เพราะมีฐานะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ตามบัตรเครดิตได้ นอกจากนี้ ธปท. ได้ออกหนังสือเวียนแจ้งให้ธนาคารทุกแห่งสามารถพิจารณา
วงเงินเบิกเกินบัญชีให้กับลูกค้าได้ตามความเหมาะสมโดยไม่กำหนดวงเงิน จากเดิมที่กำหนดให้เบิกได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท ซึ่งการปรับเงื่อนไข
ใหม่นี้เป็นตามที่ ธ.พาณิชย์เสนอมา เพื่อลดความจำเป็นของธนาคารในการสำรองเงินสดเป็นจำนวนมาก และเพื่อความคล่องตัวขึ้นในการ
ผ่อนผันให้ลูกค้าและบริหารวงเงินกู้ได้ตามความเหมาะสม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.นี้ (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
3. ภาคเอกชนยังชะลอการลงทุนเพื่อรอผลนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รายงานผลการสำรวจข้อมูลทางเศรษฐกิจของ
ธปท. ที่จัดทำภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจระหว่าง ธปท. และผู้ประกอบการทั่วประเทศ 110 ราย ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
พบว่า ภาคเอกชนเห็นว่าสามารถขายสินค้าได้ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนผู้บริโภคได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค
โดยเปลี่ยนไปซื้อสินค้าเฉพาะที่จำเป็นและเลือกชนิดราคาถูกมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยธุรกิจที่ยังขยายตัวได้ดีคือ
ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ ประเภทโมเดิร์นเทรด และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ดังนั้น ภาคเอกชน
ส่วนใหญ่จึงตัดสินใจชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพื่อรอดูผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่
ของรัฐบาล เช่น การลงทุนด้านขนส่งและสาธารณูปโภค ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนช่วงต่อไปของภาคเอกชน นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ
สรอ. ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นวงกว้างเป็นอีกประเด็นที่ภาคเอกชนติดตามก่อนจะตัดสินใจลงทุนจริง แม้ในขณะนี้จะมีความพร้อมใน
การลงทุนแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนของ ธ.พาณิชย์ที่ยังขยายตัวไม่มาก ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนยังขยายตัวได้ดี
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อปัญหาราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น แต่กำไร
จากการประกอบการลดลง เพราะในช่วงที่ผ่านมาการควบคุมราคาสินค้าและกำลังซื้อของประชาชนที่ยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ผู้ประกอบการ
ขึ้นราคาสินค้าได้ค่อนข้างจำกัด ผู้ประกอบการจึงใช้วิธีสต็อกวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการสะสมสต็อกของ ธ.พาณิชย์เพิ่มขึ้นทำให้สินเชื่อไตรมาสแรกขยายตัว
เพิ่มขึ้น (โลกวันนี้)
4. สศช. เตรียมปรับประมาณการจีดีพีใหม่หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ
สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในการประเมินภาวะเศรษฐกิจในวันที่ 26 พ.ค.นี้ สศช. จะ
ปรับประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ใหม่ จากล่าสุดที่ได้คาดการณ์ไว้เมื่อวันที่ 25 ก.พ.51 ที่ระดับร้อยละ 4.5 — 5.5 ส่วนจะเป็น
เท่าใดยังไม่สามารถระบุได้โดยต้องรอดูสถานการณ์น้ำมันให้ชัดเจนก่อน แต่จากปัจจุบันพบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก
ทั้งเรื่องของราคาสินค้าเกษตรที่แพงขึ้นทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น รวมถึงการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ
รัฐบาล การลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นสูงมาก ทำให้ สศช. ต้องทบทวนภาวะเศรษฐกิจใหม่ นอกจากนี้
สศช. ต้องปรับสมมติฐานราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่บาร์เรลละ 80 — 85 ดอลลาร์ สรอ. และ
อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.2 — 3.7 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากเกินกว่า 100 ดอลลาร์ สรอ.แล้ว
ดังนั้น สศช. จึงต้องนำข้อมูลทั้งหมดมาปรับประมาณการใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยไม่เกินบาร์เรล
ละ 110 ดอลลาร์สรอ. มั่นใจได้ว่าจะคุมอัตราเงินเฟ้อได้ไม่เกินร้อยละ 5 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับ
กับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เพราะไทยยังมีทางเลือกในการใช้พลังงานอื่นเข้ามาทดแทนน้ำมันทั้งก๊าซธรรมชาติ ก๊าซหุงต้ม หรือไบโอดีเซล เป็นต้น
แม้ว่าจะมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นบ้างแต่ก็เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าในปี 51 เศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวร้อยละ 1.5 ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 23 เม.ย.51 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า เศรษฐกิจของยูโรโซนในปี 51 จะ
ขยายตัวที่ระดับร้อยละ 1.5 ชะลอลงจากปีก่อน ที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 2.6 และลดลงจากการคาดการณ์ในเดือน มี.ค. ซึ่งมีการคาดการณ์
ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 1.6 แต่ยังคงสูงกว่าการคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ทั้งนี้ การที่
เศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวชะลอลง มีสาเหตุจากภาวะเศรษฐฏิจโลกชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าอาจเป็นสาเหตุให้ ธ.กลางสหภาพ
ยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.25 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.0 และคาดว่า
อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 ไปตลอดปี 52 นอกจากนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 51 จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 สูงกว่า
การคาดการณ์ของ ECB ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.0 และสูงกว่าการคาดการณ์ในเดือนก่อนหน้าที่มีการคาดการณ์ว่าอัตรา
เงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 2.7 (รอยเตอร์)
2. ดัชนี PMI ภาคบริการของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.8 ขณะที่ PMI ภาคอุตสาหกรรม
การผลิตลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 23 เม.ย.51 The RBC/NTC เปิดเผยว่า ดัชนี Purchasing Managers
Index (PMI) ของภาคบริการของเขตเศรษฐกิจยุโรป (ซึ่งรวมถึงธุรกิจภาคการธนาคารและสายการบิน ตลอดจนธุรกิจร้านอาหาร)
ในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 51.8 จากระดับ 51.6 ในเดือน มี.ค.51 และคาดว่าจะลดลงถึงระดับ 51.4 ในอนาคต
ขณะที่ดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของเขตเศรษฐกิจยุโรปล่าสุดลดลงอยู่ใกล้เคียงระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและ
หดตัว โดยอยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือน เม.ย.51 จากระดับ 52.0 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี (ตั้งแต่เดือน
ส.ค.48) เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ลดลงต่อเนื่อง โดยลดลงอยู่ที่ระดับ 48.6 จากระดับ 50.9 ในเดือน มี.ค.51 และดัชนีคำสั่งซื้อสินค้า
ออกก็ลดลงอยู่ที่ระดับ 49.8 จากระดับ 51.1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.48 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นยังส่งผลกระทบ
ต่อเศรษฐกิจภาคเอกชนอีกด้วย นอกจากนี้ ธ.กลางสหภาพยุโรปยังมีนโยบายตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4 ขณะที่ ธ.กลาง
ของประเทศอื่นพยายามปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อผ่อนคลายความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนี PMI ของ
ภาคบริการในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้น เนื่องจากดัชนีราคาสินค้านำเข้าในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 63.8 จากระดับ 63.2
ในเดือนก่อนหน้า และเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ต.ค.43 ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนพลังงานและเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นในเดือนที่ผ่านมา ส่วนดัชนี
Price Charged Index ก็เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 54.2 จากระดับ 53.9 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย.50 และ
ดัชนีภาคธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.8 จากระดับ 51.4 รวมทั้งยังมีดัชนีองค์ประกอบย่อย ซึ่งเป็นองค์ประกอบของทั้ง 2 ภาค เพิ่มขึ้น
เล็กน้อยที่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.8 (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษจะชะลอลงที่ระดับร้อยละ 1.7 ในปี 51 รายงานจากลอนดอนเมื่อ
23 เม.ย.51 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษในปี 51
จะขยายตัวร้อยละ 1.7 ลดลงจากการคาดการณ์ในเดือน มี.ค. และคาดว่าในปีต่อไปอัตราการขยายตัวจะเพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็น
ประมาณการที่ลดลงจากเดือน มี.ค. ที่มีการคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.8 ในปี 51 และร้อยละ 1.9 ในปี 52
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะชะลอลง แต่โอกาสที่เศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะถดถอยยังเป็นไปได้น้อย โดย
นักเศรษฐศาสตร์มองว่ามีโอกาสเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษอาจปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.75 จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 5.0 และคาดว่า
จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเหลือร้อยละ 4.5 ในเดือน ก.ย. และจะคงอยู่ที่ระดับเดิมต่อไปจนถึงกลางปี 52 เนื่องจากมองว่าภาวะ
เศรษฐกิจจะชะลอลงยาวนานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ โดยคาดว่า
อัตราเงินเฟ้อในปี 51 นี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.6 แล้วจึงจะลดลงที่ระดับร้อยละ 2.0 ในปีต่อไป (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปจนถึงปี 52 รายงานจากโตเกียว เมื่อวันที่ 23 เม.ย.51 สำนักข่าว
รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 56 คน คาดว่า ธ.กลางของญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีนี้ เนื่องจาก
การชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ที่เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของการส่งออกของญี่ปุ่น ขณะที่อัตราการเติบโต
ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะลดลงเหลือร้อยละ 0.2 ในช่วงเดือน เม.ย. — มิ.ย. ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยค่าเฉลี่ย
กลางจากผลสำรวจคาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ไปจนถึงไตรมาส 3 ปีหน้า เทียบกับผลสำรวจ
เมื่อเดือน มี.ค. ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือน เม.ย. — มิ.ย.52 ทั้งนี้ ธ.กลางญี่ปุ่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างเพิ่มขึ้นจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยเรียกเก็บ
ข้ามคืนในการทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้า นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังได้ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอีกร้อยละ 0.1
สำหรับปีนี้และร้อยละ 0.2 ในปีหน้า เหลือร้อยละ 1.4 และร้อยละ 1.8 ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 เม.ย. 51 23 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.425 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.2083/31.5481 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 837.66/25.76 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,500/13,600 13,750/13,850 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 109.07 107.38 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) ) 36.09*/32.94** 36.09*/32.44 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 23 เม.ย.51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 24 เม.ย.51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจะไม่กระทบเศรษฐกิจ นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า
แม้ ธปท. ได้ปรับกรอบคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4 — 5 เนื่องจากสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบที่สูงขึ้น แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทย
จะรับไหว เพราะในระยะต่อไปผู้ผลิตคงไม่ปล่อยให้ราคาสูงขึ้นตลอด หากสูงมากปริมาณการบริโภคย่อมลดลง จึงเชื่อว่าในระยะต่อไปราคา
คงสูงขึ้นจากปัจจุบันไม่มากนัก สำหรับราคาข้าวที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ เพราะในการคำนวณเงินเฟ้อสัดส่วนของข้าวคิดเป็น
ร้อยละ 2.5 ของการใช้จ่ายเท่านั้น ส่วนการที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะเกินเป้าหมายที่ร้อยละ 0 — 3.5 มีโอกาสเพียง 1 ใน 100 และมีการ
ประเมินทบทวนทุก 6 สัปดาห์ ซึ่งถ้าตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อเหมาะสมกับเศรษฐกิจแล้ว แต่มีแนวโน้มว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นก็คงมีการใช้อัตราดอกเบี้ย
เข้ามาดูแลเงินเฟ้อ แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาดอกเบี้ยมาดูแลเงินเฟ้ออย่างเดียว ต้องดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย ขณะที่สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ
และการเมืองเริ่มแข็งแรงกว่าในช่วง 2 — 3 ปีก่อน ทำให้ความเชื่อมั่นภายในประเทศดีขึ้น แม้จะควบคุมราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยภายนอกไม่ได้
แต่ก็ควรดูแลปัจจัยภายในประเทศให้ดีเพื่อรองรับผลกระทบให้มากที่สุด ซึ่งมองว่าขณะนี้รัฐบาลยังสามารถใช้งบประมาณขาดดุลหรืองบกลางปี
กระตุ้นเศรษฐกิจอีกได้ (โพสต์ทูเดย์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. ผ่อนผันให้ผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำใช้บัญชีเงินฝากขอถือบัตรเครดิตได้ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบาย
สถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกประกาศให้ ธ.พาณิชย์ทุกแห่งสามารถออกบัตรเครดิตให้กับผู้ที่ไม่มีเงินเดือนประจำได้ เพียง
แค่ใช้บัญชีเงินฝากประจำของ ธ.พาณิชย์ใด ๆ มาค้ำประกัน แต่ต้องมีเงินในบัญชีไม่น้อยกว่า 5 แสนบาท ในระยะเวลา 6 เดือนก่อนหน้ามา
เป็นหลักฐานในการขอมีบัตร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 19 เม.ย.นี้ ซึ่งเงื่อนไขใหม่นี้จะเปิดให้เป็นการทั่วไป จากเดิมที่อนุญาตให้ออก
บัตรเครดิตแก่ลูกค้าผู้มีเงินฝากที่มีบัญชีเงินฝากประจำเฉพาะธนาคารนั้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถไปขอออกที่ธนาคารอื่นได้ รวมถึงเปิดให้ใช้
หลักฐานเงินฝากประจำหรือเงินฝากออมทรัพย์ที่ ธ.พาณิชย์ใด ๆ หรือหลักฐานการลงทุนในตราสารหนี้ต่าง ๆ รวมทั้งการลงทุนในกองทุนรวม
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นหลักฐานยื่นขอออกบัตรเครดิตหลักได้ ทั้งนี้ ธปท. ต้องการ
ให้การออกบัตรเครดิตมีความคล่องตัวมากขึ้นและเอื้อให้ผู้มีรายได้ไม่แน่นอน แต่สามารถพิสูจน์ทรัพย์ได้ง่ายให้มีโอกาสถือบัตรเครดิตได้มากขึ้น
เพราะมีฐานะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ตามบัตรเครดิตได้ นอกจากนี้ ธปท. ได้ออกหนังสือเวียนแจ้งให้ธนาคารทุกแห่งสามารถพิจารณา
วงเงินเบิกเกินบัญชีให้กับลูกค้าได้ตามความเหมาะสมโดยไม่กำหนดวงเงิน จากเดิมที่กำหนดให้เบิกได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท ซึ่งการปรับเงื่อนไข
ใหม่นี้เป็นตามที่ ธ.พาณิชย์เสนอมา เพื่อลดความจำเป็นของธนาคารในการสำรองเงินสดเป็นจำนวนมาก และเพื่อความคล่องตัวขึ้นในการ
ผ่อนผันให้ลูกค้าและบริหารวงเงินกู้ได้ตามความเหมาะสม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.นี้ (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
3. ภาคเอกชนยังชะลอการลงทุนเพื่อรอผลนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รายงานผลการสำรวจข้อมูลทางเศรษฐกิจของ
ธปท. ที่จัดทำภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจระหว่าง ธปท. และผู้ประกอบการทั่วประเทศ 110 ราย ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
พบว่า ภาคเอกชนเห็นว่าสามารถขายสินค้าได้ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนผู้บริโภคได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค
โดยเปลี่ยนไปซื้อสินค้าเฉพาะที่จำเป็นและเลือกชนิดราคาถูกมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยธุรกิจที่ยังขยายตัวได้ดีคือ
ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ ประเภทโมเดิร์นเทรด และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ดังนั้น ภาคเอกชน
ส่วนใหญ่จึงตัดสินใจชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพื่อรอดูผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่
ของรัฐบาล เช่น การลงทุนด้านขนส่งและสาธารณูปโภค ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนช่วงต่อไปของภาคเอกชน นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ
สรอ. ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นวงกว้างเป็นอีกประเด็นที่ภาคเอกชนติดตามก่อนจะตัดสินใจลงทุนจริง แม้ในขณะนี้จะมีความพร้อมใน
การลงทุนแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนของ ธ.พาณิชย์ที่ยังขยายตัวไม่มาก ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนยังขยายตัวได้ดี
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อปัญหาราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น แต่กำไร
จากการประกอบการลดลง เพราะในช่วงที่ผ่านมาการควบคุมราคาสินค้าและกำลังซื้อของประชาชนที่ยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ผู้ประกอบการ
ขึ้นราคาสินค้าได้ค่อนข้างจำกัด ผู้ประกอบการจึงใช้วิธีสต็อกวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการสะสมสต็อกของ ธ.พาณิชย์เพิ่มขึ้นทำให้สินเชื่อไตรมาสแรกขยายตัว
เพิ่มขึ้น (โลกวันนี้)
4. สศช. เตรียมปรับประมาณการจีดีพีใหม่หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ
สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในการประเมินภาวะเศรษฐกิจในวันที่ 26 พ.ค.นี้ สศช. จะ
ปรับประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ใหม่ จากล่าสุดที่ได้คาดการณ์ไว้เมื่อวันที่ 25 ก.พ.51 ที่ระดับร้อยละ 4.5 — 5.5 ส่วนจะเป็น
เท่าใดยังไม่สามารถระบุได้โดยต้องรอดูสถานการณ์น้ำมันให้ชัดเจนก่อน แต่จากปัจจุบันพบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก
ทั้งเรื่องของราคาสินค้าเกษตรที่แพงขึ้นทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น รวมถึงการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ
รัฐบาล การลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นสูงมาก ทำให้ สศช. ต้องทบทวนภาวะเศรษฐกิจใหม่ นอกจากนี้
สศช. ต้องปรับสมมติฐานราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่บาร์เรลละ 80 — 85 ดอลลาร์ สรอ. และ
อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.2 — 3.7 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากเกินกว่า 100 ดอลลาร์ สรอ.แล้ว
ดังนั้น สศช. จึงต้องนำข้อมูลทั้งหมดมาปรับประมาณการใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยไม่เกินบาร์เรล
ละ 110 ดอลลาร์สรอ. มั่นใจได้ว่าจะคุมอัตราเงินเฟ้อได้ไม่เกินร้อยละ 5 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับ
กับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เพราะไทยยังมีทางเลือกในการใช้พลังงานอื่นเข้ามาทดแทนน้ำมันทั้งก๊าซธรรมชาติ ก๊าซหุงต้ม หรือไบโอดีเซล เป็นต้น
แม้ว่าจะมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นบ้างแต่ก็เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าในปี 51 เศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวร้อยละ 1.5 ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 23 เม.ย.51 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า เศรษฐกิจของยูโรโซนในปี 51 จะ
ขยายตัวที่ระดับร้อยละ 1.5 ชะลอลงจากปีก่อน ที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 2.6 และลดลงจากการคาดการณ์ในเดือน มี.ค. ซึ่งมีการคาดการณ์
ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 1.6 แต่ยังคงสูงกว่าการคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ทั้งนี้ การที่
เศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวชะลอลง มีสาเหตุจากภาวะเศรษฐฏิจโลกชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าอาจเป็นสาเหตุให้ ธ.กลางสหภาพ
ยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.25 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.0 และคาดว่า
อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 ไปตลอดปี 52 นอกจากนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 51 จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 สูงกว่า
การคาดการณ์ของ ECB ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.0 และสูงกว่าการคาดการณ์ในเดือนก่อนหน้าที่มีการคาดการณ์ว่าอัตรา
เงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 2.7 (รอยเตอร์)
2. ดัชนี PMI ภาคบริการของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.8 ขณะที่ PMI ภาคอุตสาหกรรม
การผลิตลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 23 เม.ย.51 The RBC/NTC เปิดเผยว่า ดัชนี Purchasing Managers
Index (PMI) ของภาคบริการของเขตเศรษฐกิจยุโรป (ซึ่งรวมถึงธุรกิจภาคการธนาคารและสายการบิน ตลอดจนธุรกิจร้านอาหาร)
ในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 51.8 จากระดับ 51.6 ในเดือน มี.ค.51 และคาดว่าจะลดลงถึงระดับ 51.4 ในอนาคต
ขณะที่ดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของเขตเศรษฐกิจยุโรปล่าสุดลดลงอยู่ใกล้เคียงระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและ
หดตัว โดยอยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือน เม.ย.51 จากระดับ 52.0 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี (ตั้งแต่เดือน
ส.ค.48) เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ลดลงต่อเนื่อง โดยลดลงอยู่ที่ระดับ 48.6 จากระดับ 50.9 ในเดือน มี.ค.51 และดัชนีคำสั่งซื้อสินค้า
ออกก็ลดลงอยู่ที่ระดับ 49.8 จากระดับ 51.1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.48 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นยังส่งผลกระทบ
ต่อเศรษฐกิจภาคเอกชนอีกด้วย นอกจากนี้ ธ.กลางสหภาพยุโรปยังมีนโยบายตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4 ขณะที่ ธ.กลาง
ของประเทศอื่นพยายามปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อผ่อนคลายความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนี PMI ของ
ภาคบริการในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้น เนื่องจากดัชนีราคาสินค้านำเข้าในเดือน เม.ย.51 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 63.8 จากระดับ 63.2
ในเดือนก่อนหน้า และเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ต.ค.43 ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนพลังงานและเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นในเดือนที่ผ่านมา ส่วนดัชนี
Price Charged Index ก็เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 54.2 จากระดับ 53.9 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย.50 และ
ดัชนีภาคธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.8 จากระดับ 51.4 รวมทั้งยังมีดัชนีองค์ประกอบย่อย ซึ่งเป็นองค์ประกอบของทั้ง 2 ภาค เพิ่มขึ้น
เล็กน้อยที่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.8 (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษจะชะลอลงที่ระดับร้อยละ 1.7 ในปี 51 รายงานจากลอนดอนเมื่อ
23 เม.ย.51 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษในปี 51
จะขยายตัวร้อยละ 1.7 ลดลงจากการคาดการณ์ในเดือน มี.ค. และคาดว่าในปีต่อไปอัตราการขยายตัวจะเพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็น
ประมาณการที่ลดลงจากเดือน มี.ค. ที่มีการคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.8 ในปี 51 และร้อยละ 1.9 ในปี 52
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะชะลอลง แต่โอกาสที่เศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะถดถอยยังเป็นไปได้น้อย โดย
นักเศรษฐศาสตร์มองว่ามีโอกาสเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษอาจปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.75 จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 5.0 และคาดว่า
จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเหลือร้อยละ 4.5 ในเดือน ก.ย. และจะคงอยู่ที่ระดับเดิมต่อไปจนถึงกลางปี 52 เนื่องจากมองว่าภาวะ
เศรษฐกิจจะชะลอลงยาวนานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ โดยคาดว่า
อัตราเงินเฟ้อในปี 51 นี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.6 แล้วจึงจะลดลงที่ระดับร้อยละ 2.0 ในปีต่อไป (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปจนถึงปี 52 รายงานจากโตเกียว เมื่อวันที่ 23 เม.ย.51 สำนักข่าว
รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 56 คน คาดว่า ธ.กลางของญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีนี้ เนื่องจาก
การชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ที่เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของการส่งออกของญี่ปุ่น ขณะที่อัตราการเติบโต
ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะลดลงเหลือร้อยละ 0.2 ในช่วงเดือน เม.ย. — มิ.ย. ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยค่าเฉลี่ย
กลางจากผลสำรวจคาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ไปจนถึงไตรมาส 3 ปีหน้า เทียบกับผลสำรวจ
เมื่อเดือน มี.ค. ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือน เม.ย. — มิ.ย.52 ทั้งนี้ ธ.กลางญี่ปุ่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างเพิ่มขึ้นจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยเรียกเก็บ
ข้ามคืนในการทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้า นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังได้ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอีกร้อยละ 0.1
สำหรับปีนี้และร้อยละ 0.2 ในปีหน้า เหลือร้อยละ 1.4 และร้อยละ 1.8 ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 เม.ย. 51 23 เม.ย. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.425 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.2083/31.5481 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25000 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 837.66/25.76 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 13,500/13,600 13,750/13,850 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 109.07 107.38 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) ) 36.09*/32.94** 36.09*/32.44 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 23 เม.ย.51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 24 เม.ย.51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--