ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือไตรมาสแรก ปี 2552 ชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2551
ภาคเกษตรกรรม ดัชนีรายได้เกษตรกรในไตรมาสแรกปี 2552 หดตัวร้อยละ 2.2 เป็นผลจากดัชนีราคาลดลงร้อยละ 3.4 ตามการลดลงของราคาหัวมันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่วนดัชนีผลผลิตสูงขึ้นร้อยละ 1.2 ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิต มันสำปะหลังเป็นสำคัญ การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 4.0 เป็นผลจากการผลิตของอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลังลดลง อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอตัวตาม คำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ลดลง และอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ลดลงตามปริมาณอ้อยโรงงาน
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและความไม่แน่นอนทางการเมือง รายได้ของภาครัฐบาลชะลอตัวจากไตรมาสก่อนตามการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ขณะที่การจัดเก็บภาษีสรรพากรและอากรขาเข้าลดลง อย่างไรก็ตาม รายจ่ายภาครัฐบาลขยายตัว เป็นผลจากส่วนราชการมีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนเพิ่มขึ้น สำหรับการค้าชายแดนลดลงทั้งการค้าชายแดนไทย - ลาว และไทย - กัมพูชา โดยเป็นการลดลงทั้งการส่งออกและนำเข้า
ภาคการเงิน เงินฝากออมทรัพย์เร่งตัวขึ้นเป็นผลจากการนำฝากของส่วนราชการ ส่วนเงินฝากประจำลดลง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทลงอย่างต่อเนื่อง ด้านเงินให้สินเชื่อหดตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคธุรกิจประกอบกับธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ชะลอจากไตรมาสก่อนตามการลดลงของราคาในหมวดที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เป็นสำคัญ
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. ภาคเกษตรกรรม ราคาพืชผลสำคัญส่วนใหญ่ ยกเว้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับดัชนีรายได้เกษตรกรในไตรมาสนี้หดตัวร้อยละ 2.2 เป็นผลจากดัชนีราคาลดลงร้อยละ 3.4 ตามราคาหัวมันสำปะหลังเป็นสำคัญ ส่วนดัชนีผลผลิตสูงขึ้นร้อยละ 1.2 ตามผลผลิตหัวมันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าว
ข้าว
ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยไตรมาสแรกปี 2552 เกวียนละ 13,761 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของ ปีก่อนร้อยละ 16.8 ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากโรงสีชะลอการรับซื้อข้าว ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 7,389 บาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.8
มันสำปะหลัง
ราคาขายส่งหัวมันสำปะหลังเฉลี่ยไตรมาสแรกปี 2552 กิโลกรัมละ 1.22 บาท และมันเส้นราคาขายส่งเฉลี่ยไตรมาสนี้กิโลกรัมละ 2.79 บาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 42.2 และร้อยละ 39.7 ตามลำดับ เป็นผลจากการชะลอตัวของความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และผลผลิตที่เพิ่มขึ้น
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยไตรมาสแรกปี 2552 กิโลกรัมละ 6.48 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.3 ตามความต้องการอาหารสัตว์ที่ชะลอตัว
2. ภาคอุตสาหกรรม การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 4.0 อุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลัง และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอตัวตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ อุตสาหกรรมน้ำตาลลดลงตามปริมาณอ้อยโรงงานที่ต่ำกว่าปีก่อน ส่วนอุตสาหกรรมที่ยังมีการผลิตขยายตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ที่ขยายตัวดีต่อเนื่องตามการบริโภคทั้งภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ และอุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษที่มีความต้องการจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
3.ภาคบริการ การท่องเที่ยวชะลอตัวจากไตรมาสก่อน โดยอัตราการเข้าพักแรมอยู่ที่ร้อยละ 45.6 ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีอัตราการเข้าพักร้อยละ 49.5 อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในภาคฯ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง มีจำนวน 17,932 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวนรวม 13,464 คน
4. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน ทำให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเครื่องชี้การอุปโภคบริโภคสำคัญที่ลดลง ได้แก่ปริมาณการ จดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลมีจำนวน 22,490 คัน และรถจักรยานยนต์มีจำนวน 90,474 คัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.5 และร้อยละ 7.4 อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้การอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ทั้งสิ้น 2,430.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.5 และปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.7
อย่างไรก็ตาม โครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนมีเงินลงทุน 3,469.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 1.7 เท่า ส่วนใหญ่เป็นโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
ภาษีสรรพสามิต จัดเก็บได้ 4,811.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 ชะลอลงจากไตรมาสก่อน ตามการจัดเก็บภาษีสุรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษีเบียร์ที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเบียร์เร่งผลิตในช่วงปลายปีเพื่อรองรับเทศกาลปีใหม่และการบริโภคที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ในเดือนมีนาคมการจัดเก็บภาษีสุราสูงขึ้นมาก ทั้งนี้ เป็นผลจากผู้ประกอบการคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราภาษี จึงเร่งผลิตเพื่อสต๊อกสินค้า
ภาษีสรรพากร จัดเก็บได้ 5,673.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.8 หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามการลดลงของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งเป็นผลจากการออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล อาทิ การขยายมาตรการปรับลดภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์ และการเพิ่มเพดานเงินได้สุทธิสำหรับผู้ได้รับยกเว้นภาษี เป็นต้น สำหรับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคลชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดการผลิตและจำหน่ายของภาคเอกชนลดลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแป้งมัน อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
ภาษีอากรขาเข้าจัดเก็บได้ 40.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33.0 ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ตามการลดลงของอากรขาเข้าในด่านศุลกากรมุกดาหาร และด่านศุลกากรหนองคาย ขณะที่ด่านที่มีการจัดเก็บอากรขาเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ด่านศุลกากรท่าลี่จากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ด่านศุลกากรนครพนม และด่านศุลกากรพิบูลมังสาหาร จากการนำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป
การเบิกจ่ายงบประมาณ ในไตรมาสแรกของปี 2552 มีการเบิกจ่ายงบประมาณ 71,700.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เทียบไตรมาสก่อนที่ลดลงร้อยละ 16.4 เป็นผลจากรายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้น และส่วนราชการมีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณหลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 2552 ออกใช้ล่าช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุนของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยแบ่งเป็น
รายจ่ายลงทุน 32,438.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.9 ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุนทั่วไป และเงินอุดหนุน เฉพาะกิจของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น
รายจ่ายประจำ 39,259.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.8 ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายหมวดเงินเดือน
การค้าชายแดนไทย - ลาว มีมูลค่าการค้า 16,468.5 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.2 และ ลดลงจากไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ซึ่งมีมูลค่า 17,412.1 ล้านบาท เป็นการลดลงทั้งมูลค่าการส่งออกและการนำเข้า ตามรายละเอียดดังนี้
การส่งออก มีมูลค่า 12,938.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ซึ่งมีมูลค่า 13,287.3 ล้านบาท เป็นผลจากการลดลงของสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม วัสดุก่อสร้างและเหล็กตามราคาที่ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนและส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการที่ สปป.ลาว สามารถผลิตเหล็ก และปูนซีเมนต์จำหน่ายเองภายในประเทศ เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำไปใช้ในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เหมืองแร่ และโรงงานอุตสาหกรรมวัตถุดิบประเภทผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าและรองเท้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ส่วนใหญ่ส่งต่อไปขายยังประเทศเวียดนาม ซึ่งหันไปใช้สินค้าที่ผลิตจากโรงงานในประเทศที่มีราคาถูกกว่าแทน
อย่างไรก็ดี ยังคงมีสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากจากปีก่อน ได้แก่ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการส่งออกยางรถยนต์ และรถยนต์นั่งพวงมาลัยซ้าย และสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนโดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภทบำรุงกำลัง นม และน้ำผลไม้ซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปขายต่อยังประเทศเวียดนามซึ่งยังมีความนิยมในสินค้ากลุ่มนี้
การนำเข้า มีมูลค่า 3,530.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลงจาก ไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ซึ่งมีมูลค่า 4,124.7 ล้านบาท จากการลดลงของการนำเข้าสินแร่ทองแดง ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบซึ่งส่วนหนึ่งเนื่องจากการโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่โดยเฉพาะเขื่อนน้ำเทิน 2 ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยได้ทยอยนำกลับเข้ามามากในช่วง กลางปีถึงปลายปี 2551 แล้วเป็นส่วนใหญ่ และการลดลงของการนำเข้ารถยนต์นั่งพวงมาลัยซ้ายจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา รวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจากประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสินค้าสำคัญที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้จากการผ่อนคลายนโยบายเข้มงวดการส่งออกไม้ของ สปป.ลาว ผลิตภัณฑ์เกษตรโดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากแขวงไชยะบูลี เนื่องจากในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2551 รัฐบาลมีนโยบายชะลอการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำให้มีการนำเข้าในช่วงไตรมาสนี้สูงกว่าปกติ และการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเพื่อการทำเหมืองแร่ในแขวงสะหวันนะเขต เป็นสำคัญ
การส่งออก มีมูลค่า 10,313.4 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.5 โดยสินค้าส่งออกสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ยานพาหนะและส่วนประกอบ น้ำตาล เครื่องดื่ม น้ำมันปิโตรเลียมและเชื้อเพลิง และอาหารสัตว์ สินค้าส่งออกสำคัญที่ยังมีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ สิ่งทอ สัตว์มีชีวิต พลาสติกและผลิตภัณฑ์
การนำเข้า มีมูลค่า 495.8 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.5 ตามการนำเข้าสินค้า วัสดุใช้แล้ว เสื้อผ้าเก่า/ผ้าห่มเก่า ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าพืชไร่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
8. ระดับราคาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไตรมาสแรกของปี 2552 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.8 ชะลอลงจาก ไตรมาสก่อน เป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มที่ลดลงร้อยละ 7.7 เป็นสำคัญ ส่วนราคาสินค้า ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.2
หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ หมวดเคหสถานลดลงร้อยละ 7.5 จากมาตรการของรัฐบาล 6 เดือน 6 มาตรการ ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคน ที่ขยายระยะเวลาออกไปอีก 6 เดือน (31 ม.ค.52 -31 ก.ค.52) ทำให้ค่าน้ำประปาลดลงร้อยละ 55.2 และค่าไฟฟ้าลดลงร้อยละ 36.8 หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารลดลงร้อยละ 13.1 จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงร้อยละ 27 ส่งผลให้ค่าโดยสารสาธารณะปรับลดลงร้อยละ 9.8
หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ หมวดผักและผลไม้ร้อยละ 16.6 หมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้งร้อยละ 14.1 อาหารสำเร็จรูปร้อยละ 11.6 เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำร้อยละ 10.2
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานไตรมาสของปี 2552 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.0 ลดลงจากไตรมาสก่อน
9. ภาคการจ้างงาน ด้านภาวะการจ้างงาน มีตำแหน่งงานว่าง 9,786 อัตรา ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 36.4 โดยมีผู้สมัครงาน 43,789 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจัดตลาดนัดแรงงานในหลายจังหวัดของภาค ผู้ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 7,633 คน ลดลงร้อยละ 11.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่ทำงานในอาชีพงานพื้นฐานต่าง ๆ และผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต สำหรับคนไทยในภาคที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศจำนวน 20,071 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 20.0 ส่วนใหญ่เดินทางไปทำงานในประเทศไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอิสราเอล
ด้านเงินให้สินเชื่อ หดตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคธุรกิจ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะหดตัวได้แก่ สินเชื่อเพื่อการผลิต สินเชื่อเพื่อธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร และธุรกิจขนส่ง
ข้อมูลเพิ่มเติม : นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3411 e-mail: [email protected]
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย