สรุปภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือน กรกฎาคม 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 31, 2009 16:05 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนกรกฏาคม 2552 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ตามการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรม และรายได้เกษตรกรหดตัวน้อยลง อย่างไรก็ตาม การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน อ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน

การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น การลงทุนภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย สะท้อนจากพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้าง ในเขตเทศบาล ทุนจดทะเบียนตั้งใหม่ และเงินลงทุนของโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ได้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและจากระยะเดียวกันปีก่อนทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน การใช้จ่ายจากภาครัฐเนื่องจากเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกัน ปีก่อนชะลอลงจากเดือนก่อนซึ่งเป็นผลจากภาษีสรรพากรชะลอตัวเป็นสำคัญ

ภาคเกษตรกรรม ดัชนีรายได้เกษตรกรหดตัวน้อยลงเมื่อเทียบจากระยะเดียวกันของปีก่อนกล่าวคือหดตัว ร้อยละ 7.9 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 11.5 เนื่องจากราคาข้าวที่สูงขึ้น ส่วนผลผลิตลดลงเล็กน้อย ตามการ ลดลงของผลผลิตข้าวและอ้อย หดตัวน้อยลงจากเดือนก่อน โดยในเดือนนี้หดตัวร้อยละ 17.0 เทียบกับ ภาคอุตสาหกรรมเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 28.9 เนื่องจากมีการผลิตอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลังยังคงลดลง เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของ ปีก่อน ยังคงลดลงต่อเนื่อง มูลค่าการค้าชายแดนไทย-ลาว และไทย กัมพูชา

ภาคการเงิน เงินฝากเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอจากเดือนก่อน ส่วนสินเชื่อ ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบร้อยละ 4.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4

รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจ มีดังนี้

1. ภาคเกษตรกรรม ดัชนีรายได้เกษตรกรหดตัวร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวดี ขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 11.5 เนื่องจากผลผลิตลดลง สำหรับดัชนีราคาหดตัวร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 11.3 ตามราคาข้าวโพดเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวและมันสำปะหลังยังมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยดัชนีผลผลิตลดลงร้อยละ 0.3 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 0.2 ตามการลดลงของผลผลิตข้าว และอ้อย

ข้าว ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 14,594 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของ ปีก่อนร้อยละ 0.6 และราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 7,451 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.6 แต่เมื่อเทียบราคาเฉลี่ยจากเดือนก่อนแล้ว ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว)ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 และร้อยละ 5.1 ตามลำดับ จากความต้องการข้าวเพื่อการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น

มันสำปะหลัง ราคาขายส่งหัวมันเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.30 บาทและมันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.43 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.6 และร้อยละ 31.3 ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ราคามันสำปะหลังและ มันเส้นปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 13.0 และร้อยละ 11.7 เนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย เพราะเป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยวหัวมันสดและมีฝนตกชุกเป็นอุปสรรคต่อการขุดหัวมัน รวมทั้งความต้องการเพื่อการส่งออกที่มีแนวโน้มดีขึ้น

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.31 บาท ลดลงจากระยะ เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 32.9 และลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 11.1 เนื่องจากในช่วงการเก็บเกี่ยวมีฝนตกชุกทำให้ข้าวโพดมีความชื้นสูง

2. ภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.0 แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 28.9 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD) โดยเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ตามการขยายตัวของการผลิตเพื่อส่งออก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลัง การผลิตยังคงลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน

3. ภาคบริการ การท่องเที่ยวในภาคลดลงจากเดือนก่อนและระยะเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราการเข้าพักแรมในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 42.4 ลดลงจากเดือนก่อนที่มีอัตราการเข้าพักร้อยละ 45.0 และลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตราการเข้าพักร้อยละ 48.6

4.การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยเครื่องชี้ สำคัญ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้จำนวน 806.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.0 เทียบกับเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 ส่วนหนึ่งเกิดจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นจากห้างสรรพสินค้าที่เปิดใหม่ในจังหวัดศรีสะเกษและอุดรธานี รวมทั้งจากธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งสุราและเบียร์ในจังหวัดศรีสะเกษ การจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีจำนวน 3,073 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.2 และปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.4

อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลมีจำนวน 3,062 คัน และการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์มีจำนวน 38,076 คัน ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.7 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทำให้ประชาชนชะลอการตัดสินใจซื้อ

5. การลงทุนภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย โดยเครื่องชี้สำคัญ คือ พื้นที่รับอนุญาต ก่อสร้างในเขตเทศบาล ทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ และเงินลงทุนของโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน กล่าวคือพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลนครและเทศบาลเมือง มีจำนวน 156.2 พันตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.8 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัย

ทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่มี จำนวน 454.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.1 ขณะที่เงินลงทุนของโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการใหม่เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 65.1 สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อธุรกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 ส่วนเงินลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 31.8

6. ภาคการคลัง รัฐจัดเก็บภาษีอากรได้ 2,740.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะรายได้ของภาคระฐบาลเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.9 ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 เป็นผลจากภาษีสรรพากรชะลอตัว ในขณะที่ภาษีสรรพสามิตและอากรขาเข้าจัดเก็บได้ลดลง มีรายละเอียดดังนี้

ภาษีสรรพากร จัดเก็บได้ 1,550.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.8 เป็นผลจากภาษีเงินได้นิติบุคคลชะลอตัว เนื่องจากภาคธุรกิจมีผลประกอบการชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัว โดยเฉพาะธุรกิจที่ส่งกำไรกลับไปยังต่างประเทศ ประกอบกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีธุรกิจเฉพาะจัดเก็บได้ลดลง ผลจากการออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจส่งผลให้จัดเก็บภาษีได้ลดลง ในขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการค้าบางแห่งมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมน้ำตาล อุตสาหกรรมผลิตสุรา และธุรกิจขายปลีกขายส่งสุราและเบียร์ เป็นต้น

ภาษีสรรพสามิต จัดเก็บได้ 1,175.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.7 ลดลงเป็นเดือนแรกในรอบปี เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีสุราลดลง ในขณะที่ภาษีเบียร์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ยื่นชำระภาษีก่อนการปรับภาษีในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สินค้าคงเหลือยังมีปริมาณมาก

ภาษีอากรขาเข้า จัดเก็บได้ 14.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.2 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยลดลง เกือบทุกด่านศุลกากร ตามการนำเข้ายานพาหนะ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ลดลง

การเบิกจ่ายงบประมาณ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 20,518.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 47.5 เทียบเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 13.7 เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน เนื่องจาก ส่วนราชการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ โดยส่วนราชการที่มีการเบิกจ่ายสูงสุดได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ โดยแบ่งเป็น

รายจ่ายประจำ 14,056.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายหมวดเงินเดือน

รายจ่ายลงทุน 6,460.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว เร่งตัวจากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 33.8 ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปและหมวดที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

7. การค้าต่างประเทศ

การค้าชายแดนไทย - ลาว มีมูลค่าการค้า 5,365.4 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 25.7 จากการลดลงของมูลค่าการส่งออกและการนำเข้า โดยมีรายละเอียดดังนี้

การส่งออก มูลค่า 4,209.5 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.7 โดยสินค้า ส่งออกที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงประกอบด้วย วัสดุก่อสร้างและเหล็ก ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการที่ สปป. ลาว สามารถผลิตเหล็ก และปูนซีเมนต์จำหน่ายได้เองภายในประเทศ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ส่วนใหญ่ เป็นการส่งออกยางรถยนต์และรถยนต์นั่งพวงมาลัยซ้าย นอกจากนี้น้ำมันปิโตรเลียม เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำไปใช้ในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เหมืองแร่ และโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงวัตถุดิบประเภทเม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าและรองเท้า และสารเคมีต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจหดตัวส่งผลให้การส่งออกลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี ยังคงมีสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็น คือ สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนประเภทเครื่องดื่มบำรุงกำลัง นม น้ำผลไม้ ผลไม้สดตามฤดูกาล และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดชำระล้าง ซึ่งสินค้าจากไทยยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้มีรายได้สูง อีกทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ซึ่งส่วนหนึ่งส่งไปขายต่อยังประเทศเวียดนามก็ยังคงได้รับความนิยมในสินค้าจากไทยแม้จะมีโรงงานผลิตเองในประเทศก็ตาม นอกจากนี้ การส่งออกปศุสัตว์โดยเฉพาะโคและกระบือไปยังเวียดนามเพื่อใช้ในภาคการเกษตร ก็ยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้น

การนำเข้า มีมูลค่า 1,155.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45.0 จากการลดการนำเข้าแร่ทองแดงลงกว่า ครึ่งหนึ่ง เนื่องจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลก ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบซึ่งส่วนหนึ่งลดลงเนื่องจากการเสร็จสิ้นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และการลดการนำเข้ารถยนต์นั่งพวงมาลัยซ้ายตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา นอกจากนี้การนำเข้าผลิตภัณฑ์เกษตรก็มีมูลค่าลดลงจากการลดการนำเข้ากะหล่ำปลีและกล้วยดิบจากโครงการ Contract Farming ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับแขวงจำปาสักเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี การนำเข้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายรวมถึงเครื่องประดับจากประเทศจีนเพิ่มขึ้น รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังคงเพิ่มขึ้นจากการนำกลับเครื่องจักรที่เสร็จสิ้นจากโครงการก่อสร้างเขื่อนน้ำเทิน 2 เป็นสำคัญ

การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา มีมูลค่าการค้า 3,897.0 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.3 ลดลงทั้งมูลค่าการส่งออกและนำเข้า โดยมีรายละเอียดดังนี้

การส่งออก มีมูลค่า3,580.4 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.4 สินค้าส่งออกสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ยานพาหนะและส่วนประกอบ โดยเฉพาะรถยนต์พวงมาลัยซ้าย จากการจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายเองในประเทศ และประชาชนที่มีรายได้สูงขึ้นหันไปสั่งซื้อรถราคาสูงจากประเทศอื่นมากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ประชาชนหันไปนิยมสินค้าจากเวียดนามแทน วัสดุก่อสร้างเนื่องจากปริมาณผลผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น ตลอดจนมีการนำเข้าจากประเทศเวียดนามในจังหวัดที่มีชายแดนติดกัน และน้ำมันปิโตรเลียมและเชื้อเพลิงซึ่งทางการกัมพูชาอนุญาตให้นำเข้าได้เฉพาะเพื่อใช้ในจังหวัดติดชายแดนเท่านั้น ในขณะที่การส่งออกสินค้าสำคัญ คือ น้ำตาล เครื่องดื่มประเภทบำรุงร่างกายและน้ำอัดลม รวมถึงวัตถุดิบประเภทผ้าถักทอ และปุ๋ยเคมียังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้น

การนำเข้า มีมูลค่า 316.6 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27.9 สินค้า นำเข้าสำคัญที่ลดลง ได้แก่ เศษวัสดุประเภทเศษกระดาษ เศษแก้ว เศษทองแดง เศษเหล็กและเศษอลูมิเนียม เสื้อผ้าเก่า/ ผ้าห่มเก่า ส่วนการนำเข้าพืชไร่โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลงเล็กน้อย

8. ระดับราคา ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปลดลงร้อยละ 4.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนซึ่งลดลง ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ทั้งนี้ เป็นผลจากการลดลงของสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 11.1 จากหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารลดลงร้อยละ 18.4 ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงร้อยละ 28.4 เนื่องจากในเดือนนี้ของปีก่อนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงที่สุดของปี หมวดการบันเทิงการ อ่านการศึกษา และการศาสนาลดลงร้อยละ 14.9 จากค่าหนังสือและอุปกรณ์การศึกษาลดลงร้อยละ 97.6 หมวดเคหสถานลดลงร้อยละ 7.5 หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าลดลงร้อยละ 4.6 ซึ่งลดลงตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชนที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ

หมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ชะลอลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดผักและผลไม้ร้อยละ 9.0 เนื้อสัตว์ร้อยละ 9.5 และผลิตภัณฑ์น้ำตาลร้อยละ 5.5

ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 1.2

9. ภาคการจ้างงาน ภาวะการทำงานเดือนมิถุนายน 2552 มีกำลังแรงานรวมทั้งสิ้น 13.3 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำ 13.1 ล้านคน ทำงานในภาคเกษตรกรรม 8.1 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 34.2 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลเพาะปลูก และนอกภาคเกษตร 5.1 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ทำงานด้านการขายส่ง การขายปลีก อุตสาหกรรมการผลิตและการก่อสร้าง สำหรับผู้ว่างงานมีจำนวน 0.15 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.1 ลดลงจากเดือนก่อนที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 2.0

ด้านภาวะการจ้างงาน เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้สมัครงานจำนวน 10,142 คน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 37.1 ในขณะที่มีตำแหน่งงานว่างจำนวน 3,737 อัตรา เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.4 และผู้ที่ได้รับการบรรจุงาน 5,692 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.1 มากกว่าตำแหน่งงานว่างในเดือนนี้ เนื่องจากเป็นการบรรจุงานจากความต้องการแรงงานใน 2 เดือนก่อนด้วย ส่วนใหญ่เป็นการบรรจุงานในอุตสาหกรรมการผลิต การขายส่งและการขายปลีก

สำหรับคนไทยในภาคที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศมีจำนวน 10,200 คน ลดลงร้อยละ 4.2 ซึ่งลดลงจากแรงงานที่เดินทางไปทำงานในประเทศไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงค์โปร์ และคูเวต เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกทำให้มีชะลอการผลิตและการก่อสร้างในโครงการใหญ่ แต่สำหรับประเทศสวีเดนยังมีแรงงานที่เดินทางไปทำงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน 3,348 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่เดินทางจากจังหวัดชัยภูมิ มากที่สุด รองลงมาเป็นจังหวัดอุดรธานี และนครราชสีมา

10. ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในภาคมีจำนวน 388,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ชะลอจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 เป็นผลจากการลดลงของเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากประจำจากการถอนเงินไปลงทุนในกองทุนรวมและเพื่อเตรียมซื้อพันธบัตรรัฐบาล

ด้านเงินให้สินเชื่อ มีจำนวน 374,790 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อประเภทตั๋วเงินที่มีแนวโน้มลดลงและไม่มีการต่ออายุเพิ่ม สำหรับสินเชื่อแยกตามประเภทธุรกิจพบว่าสินเชื่อที่ลดลงได้แก่ สินเชื่อเพื่อการขายส่งขายปลีก การผลิต การก่อสร้าง และบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ส่วนสินเชื่อที่ยังขยายตัว แต่ชะลอตัวลง ได้แก่ สินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล และสินเชื่อที่ให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ โรงรับจำนำ และธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์

อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก เท่ากับร้อยละ 96.4 ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 101.9 เป็นผลจากการชะลอตัวของทั้งเงินฝากและสินเชื่อ

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลเพิ่มเติม: นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3411 e-mail: [email protected]

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ