ฉบับที่ 4/2553
ภาวะเศรษฐกิจการเงินภาคเหนือ เดือนมีนาคม 2553 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยการส่งออก เร่งตัวและขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่หก และการส่งออกไปตลาดหลักทั้งอาเซียน ญี่ปุ่นและยุโรปมีสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดีเกือบทุกประเภทโดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมถึงการแปรรูปสินค้าเกษตรและเครื่องประดับเพื่อการส่งออก การบริโภคขยายตัวตามกำลังซื้อที่อยู่ในเกณฑ์ดีจากรายได้ของเกษตรกรและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงต้นปี ส่งผลให้ภาคการค้าขยายตัวในเกณฑ์สูงทุกหมวด การลงทุนภาครัฐบาลและภาคเอกชนขยายตัวโดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการเป็นสำคัญ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลง การจ้างงานเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ ด้านเงินฝากและสินเชื่อยังคงขยายตัว
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 ภาวะเศรษฐกิจการเงินภาคเหนือเริ่มฟื้นตัวชัดเจนและกระจายเป็นวงกว้างขึ้น ครอบคลุมทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภคและการลงทุน โดยการส่งออกของภาคเหนือเร่งตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดส่งออกหลัก โดยมีการส่งออกชายแดนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสินค้าเทคโนโลยีและเกษตรแปรรูป ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวยังแสดงทิศทางขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปีก่อน การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกร การท่องเที่ยวและการจ้างงาน ส่วนการลงทุนขยายตัวโดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นสำคัญ ขณะที่เงินอุดหนุนของรัฐบาลที่ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในส่วนที่เป็นงบลงทุนได้เบิกจ่ายตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อนแล้ว ทำให้การใช้จ่ายภาครัฐปรับลดลง สำหรับเงินให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์กลับมาขยายตัวสะท้อนการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ ส่วนเงินฝากยังคงขยายตัว
รายละเอียดของแต่ละภาคเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. ภาคเกษตรเดือนมีนาคม 2553 รายได้เกษตรกรขยายตัวจากเดือนเดียวกันปีก่อนเพียงร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากเดือนก่อนและระยะเดียวกันปีก่อน ผลจากปริมาณผลผลิตพืชหลักหลายชนิดที่ออกสู่ตลาดในเดือนนี้ลดลง โดยดัชนีผลผลิตพืชผลสำคัญหดตัวร้อยละ 7.6 ตามผลผลิตกระเทียมและหอมแดงที่ลดลงร้อยละ 17.0 และร้อยละ 13.8 ตามลำดับ เนื่องจากขาดแคลนเมล็ดพันธุ์สำหรับเพาะปลูกประกอบกับเกษตรกรบางส่วนได้ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชผักอื่น ขณะที่มันสำปะหลังลดลงร้อยละ 18.6 เนื่องจากผลผลิตได้รับความเสียหายจากการระบาดของเพลี้ยแป้ง อย่างไรก็ตาม ข้าวนาปรังและอ้อยโรงงานผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้เกษตรกรเพิ่มการผลิต ทางด้านดัชนีราคาพืชผลหลักสูงขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.1 จากราคาอ้อยโรงงานที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาอ้อยขั้นต้นตามราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง กระเทียมและหอมแดงมีราคาสูงขึ้นร้อยละ 108.2 และร้อยละ 17.1 ตามลำดับ จากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดน้อยกว่าปีการผลิตก่อนหน้ามาก และมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.9 ตามความต้องการเพื่อส่งออกที่เพิ่มขึ้น ส่วนข้าวนาปรังและถั่วเหลืองมีราคาลดลงร้อยละ 17.8 และร้อยละ 9.3 ตามลำดับ
ไตรมาสแรก ปี 255 3 รายได้ของเกษตรกรในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.4 เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนและระยะเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของราคาเป็นสำคัญ โดยดัชนีราคาพืชผลสำคัญสูงขึ้น ร้อยละ 9.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน จากราคาอ้อยโรงงานที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ตามราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงเพราะผลผลิตโดยรวมของโลกลดลง ราคามันสำปะหลังและข้าวเปลือกเหนียวนาปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 84.3 และร้อยละ 58.2 ตามลำดับ ตามความต้องการส่งออกไปต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดจีน ราคากระเทียมและหอมแดงเพิ่มขึ้นร้อยละ 108.2 และร้อยละ 33.1 ตามลำดับ เนื่องจากผลผลิตลดลงจากปีก่อนมาก ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นร้อยละ 19.3 จากความต้องการของตลาดที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาข้าวเปลือกนาปีและนาปรังลดลงร้อยละ 18.0 และร้อยละ 17.0 ตามลำดับ ตามการชะลอตัวของราคาตลาดโลกประกอบกับผลจากปริมาณสต๊อกข้าวของทางการที่มีเป็นจำนวนมาก ด้านดัชนีผลผลิตพืชผลหลักหดตัวร้อยละ 4.6 จากผลผลิตของมันสำปะหลังและข้าวนาปีที่ลดลงร้อยละ 18.6 และร้อยละ 1.9 ตามลำดับ ผลจากการระบาดของเพลี้ยอย่างรุนแรงทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงมาก โดยเฉพาะในแหล่งเพาะปลูกสำคัญในภาคเหนือตอนล่าง ผลผลิตกระเทียมและหอมแดงลดลงร้อยละ 17.0 และร้อยละ 13.8 ตามลำดับ เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนหันไปปลูกพืชผักอื่นประกอบกับการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์เพื่อทำการผลิต ขณะที่ผลผลิตอ้อยโรงงาน ข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.5 ร้อยละ 2.1 และร้อยละ 7.4 ตามลำดับ จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกเนื่องจากราคาที่อยู่ในระดับสูงจูงใจ
2. ภาคอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม 2553 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมภาคเหนือขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 62.2 เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน ผลจากการผลิตสำคัญของภาคที่ขยายตัวดี โดยการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และทุกชนิดทั้งส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เช่น ชิ้นส่วนเมาส์ ส่วนประกอบฮาร์ดดิสไดร์ฟ และชิ้นส่วนในโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นมากทั้งในตลาดเอเชียและการฟื้นตัวของตลาดในอเมริกาและยุโรป ด้านอุตสาหกรรมอาหารกลับมาเร่งตัวขึ้นที่ร้อยละ 27.7 จากที่ชะลอตัวจากเดือนก่อน การผลิตขยายตัวดีในการ แปรรูปผักผลไม้ เช่น ผลไม้/ผักสดแช่แข็งและข้าวโพดหวานกระป๋อง การผลิตอัญมณียังคงขยายตัวดีต่อเนื่องจากเดือนก่อนทั้งการเจียระไนเพชรและการผลิตเครื่องประดับแฟชั่น ด้านอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวจากเดือนก่อนแต่ยังอยู่ในระดับดี ส่วนการผลิตเครื่องดื่มหดตัวเนื่องจากการเร่งผลิตมากในช่วงต้นปี
ไตรมาสแรก ปี 255 3 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 53.8 ขยายตัวในเกณฑ์ดีตลอดไตรมาส โดยการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จากคำสั่งซื้อต่างประเทศที่เพิ่ม มากขึ้น ทั้งจากการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เซ็นเซอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้านอุตสาหกรรมอาหารขยายตัวร้อยละ 13.1 เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ผลจากการเพิ่มขึ้นของการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นสำคัญ โดยเฉพาะผัก/ผลไม้สดแช่แข็ง เช่น มะม่วงและถั่วแระ ข้าวโพดหวานกระป๋อง จากการผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดยุโรปที่เพิ่มขึ้น การผลิตอัญมณีเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว ส่วนหนึ่งเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยขยายตัวทั้งการเจียระไนเพชรและการผลิตเครื่องประดับแฟชั่น ด้านอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างขยายตัวดีตลอดไตรมาส ทั้งการก่อสร้างของประชาชนในชนบทและการก่อสร้างภาครัฐ ด้านการผลิตเครื่องดื่มขยายตัวตัวดีในช่วงต้นปีแต่มาชะลอลงในเดือนสุดท้ายของไตรมาส
3. ภาคบริการ เดือนมีนาคม 2553 ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลบวกจากการประชุมสัมมนา เครื่องชี้สำคัญได้แก่ จำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานภาคเหนือขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในอัตราร้อยละ 14.9 อ่อนตัวลงจากเดือนก่อนตามฤดูกาลและส่วนหนึ่งจากผลกระทบปัญหาหมอกควัน ปริมาณการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มประเภทโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ตั้งแต่ต้นปีที่ร้อยละ 9.8 โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญของภาค สำหรับอัตราการเข้าพักของโรงแรมเดือนมีนาคม 2553 (จากข้อมูลโรงแรม 77 โรงแรม) อยู่ที่ร้อยละ 40.1 ราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ราคาเฉลี่ย 1,470.1 บาท/คืน
ไตรมาสแรก ปี 255 3 ภาคบริการยังคงมีแรงส่งทำให้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปี 2552 ทั้งจากจำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานและภาษีมูลค่าเพิ่มหมวดโรงแรมและภัตตาคารที่ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.4 และร้อยละ 12.2 ตามลำดับ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัว การจัดเทศกาลต่างๆในแต่ละจังหวัด ช่วยดึงดูด
นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ เช่น อากาศที่หนาวเย็น งานไม้ดอกไม้ประดับหรืองานเทศกาลตรุษจีนในจังหวัดนครสวรรค์ การลดราคาทั้งตั๋วโดยสารของสายการบินและห้องพักกิจการโรงแรมช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวภาคเหนือ รวมถึงการจัดประชุมสัมมนาทั้งของภาครัฐและเอกชน ช่วยให้อัตราการเข้าพักโรงแรมภาคเหนือยังคงดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือนมีนาคมจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนประสบปัญหาหมอกควัน ทำให้นักท่องเที่ยวปรับตัวลดลงเล็กน้อย
4. ภาคการค้า เดือนมีนาคม 2553 ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีภาคการค้าขยายตัวร้อยละ 21.9 ในทุกหมวดตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบด้วย การค้าหมวดยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ 20.7 โดยการขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งด้านราคาและความต้องการใช้น้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณรถที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี การค้าหมวดค้าส่ง ขยายตัวร้อยละ 25.5 ในเกือบทุกกลุ่มสินค้า อาทิ วัสดุก่อสร้าง หนังสือและอุปกรณ์การเรียน โดยเฉพาะเครื่องกีฬาซึ่งเพิ่มขึ้นจากกระแสการแข่งขันฟุตบอลโลก ขณะที่กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบยังคงหดตัวแต่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น สำหรับการค้าหมวดค้าปลีก ขยายตัวอย่างต่อเนื่องร้อยละ 21.3 ในทุกหมวดของสินค้า โดยเฉพาะสินค้าคงทน อาทิ วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องเขียน และยอดขายในห้างสรรพสินค้าที่ขยายตัวดีขึ้นตามการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
ไตรมาสแรก ปี 2553 ภาวะการค้าภาคเหนือขยายตัวร้อยละ 21.1 เร่งตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าในทุกหมวด ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สะท้อนจากการขายสินค้าคงทน สินค้าขั้นกลาง และการขายปลีกน้ำมันเชื่อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ การค้าหมวดยานยนต์ หมวดค้าส่ง และหมวดค้าปลีกขยายตัวร้อยละ 20.0 ร้อยละ 24.6 และร้อยละ 20.6 ตามลำดับ
5. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเดือนมีนาคม 2553 ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ตามภาวะการท่องเที่ยวและการผลิตที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรายได้เกษตรที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลในเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองและภาวะภัยแล้ง ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.2 ชะลอตัวลงจากเดือนร้อยละ 0.4 เครื่องชี้การใช้จ่ายภาคเอกชนเมื่อปรับฤดูกาลแล้วส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น อาทิ ปริมาณการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.3 การบริโภคสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันในหมวดค้าส่งและค้าปลีก โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทวิทยุและโทรทัศน์เริ่มเร่งตัวขึ้นตามกระแสการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ขยายตัวร้อยละ 9.5 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน
ไตรมาสแรก ปี 2553 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 และร้อยละ 3.4 จากระยะเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อน ตามลำดับ ผลจากภาวะการท่องเที่ยว ภาวะการจ้างงานและรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น สะท้อนจากเครื่องชี้ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น อาทิ ปริมาณการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน
6. การลงทุนภาคเอกชนเดือนมีนาคม 2553 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชนภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 106.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการฟื้นตัวของภาคก่อสร้างทั้งงานโครงการภาครัฐและเอกชน สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 54.8 ต่อเนื่องจากเดือนก่อน ทั้งงานก่อสร้างตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โครงการบ้านจัดสรรในกลุ่มระดับราคา 1.0 - 3.0 ล้านบาท และการก่อสร้างบ้านอยู่อาศัยของเกษตรกร รวมถึงการส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน ปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 6.4 ตามความเชื่อมั่นของผุ้บริโภค ด้านพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเล็กน้อยร้อยละ 0.2 โดยเฉพาะประเภทที่อยู่อาศัย ในขณะที่ประเภทเพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มอาคารพาณิชย์คอนกรีต 1 - 3 ชั้นในจังหวัดหลักทางเศรษฐกิจ ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนที่ดินขยายตัวที่ร้อยละ 80.7 จากการเร่งทำธุรกรรมเนื่องจากไม่มั่นใจว่าทางการจะขยายเวลา การลดหย่อนค่าธรรมเนียม สำหรับความสนใจลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งสะท้อนจากการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในภาคเหนือเร่งตัวร้อยละ 224.3 ในหมวดอิเล็กทรอนิคส์และเครื่องไฟฟ้า และหมวดเกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตร เป็นสำคัญ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ไตรมาสแรก ปี 2553 ภาวะการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ขยายตัวจากภาคก่อสร้างตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการเป็นสำคัญ โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชนของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 105.4 หรือขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.4 ปริมาณการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 53.7 ตามการกระตุ้นเศรษฐกิจในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง การต่อเติมและสร้างบ้านใหม่ของเกษตรกร และการส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน ปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์ เชิงพาณิชย์ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.8 ในขณะที่พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเล็กน้อยร้อยละ 1.9 อย่างไรก็ดี ประเภทเพื่อที่อยู่อาศัยยังคงขยายตัวดีโดยเฉพาะจังหวัดหลักทางเศรษฐกิจและจังหวัดแหล่งปลูกพืชเกษตรสำคัญ ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนที่ดินเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 43.9 ตามมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของทางการ สำหรับมูลค่าการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในภาคเหนือทั้งสิ้นจำนวน 3,311.9 ล้านบาทหรือเร่งตัวร้อยละ 285.4 เป็นการลงทุนในหมวดอิเล็กทรอนิคส์และเครื่องไฟฟ้า หมวดเกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตร และหมวดบริการและสาธารณูปโภค เป็นสำคัญ
7. การค้าต่างประเทศ เดือนมีนาคม 2553 ขยายตัวดีต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยมูลค่าการส่งออกผ่านด่านศุลกากรในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 85.0 เป็น 295.4 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ขยายตัวดีในทุกตลาดส่งออกสำคัญ โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 46.4 โดยสินค้ากลุ่ม Hi-tech Products เพิ่มขึ้นมากในหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เลนส์กล้องถ่ายรูป และหม้อแปลงไฟฟ้า ด้านการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในกลุ่ม Labor Intensive และ Resource Based ก็ขยายตัวในเกณฑ์ดี ตามการส่งออกเพชรเจียระไน อาหารแปรรูป และปูนซีเมนต์ การส่งออกสินค้าเกษตรขยายตัวร้อยละ 36.8 ชะลอตัวจากเดือนก่อนแต่อยู่ในเกณฑ์ดี จากการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขยายตัวดีต่อเนื่องจากเดือนก่อน เป็นสำคัญ สำหรับการส่งออกผ่านด่านชายแดนขยายตัวร้อยละ 49.8 เป็น 138.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ชะลอลงจากเดือนก่อน เป็นผลจากการส่งออกไปจีนตอนใต้ที่หดตัวมากขึ้น ขณะที่ การส่งออกไปพม่าและลาวยังคงขยายตัวดีที่ร้อยละ 53.7 และร้อยละ 128.3 ตามลำดับ
การนำเข้า ผ่านด่านศุลกากรในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 62.7 เป็น 118.4 ล้าน ดอลลาร์ สรอ. ชะลอลงเมื่อเทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 98.9 เดือนก่อน เพิ่มขึ้นในทุกสินค้าโดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อ ผลิตสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 73.8 เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพชรดิบ และเคมีภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือลำพูน ด้านการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 91.0 ตามการนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องจักรไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่วนการนำเข้าผ่านด่านชายแดนหดตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.6 เหลือ 10.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากการนำเข้าพม่าและจีนตอนใต้ที่ลดลงร้อยละ 25.8 และร้อยละ 76.9 ตามลำดับ และลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ส่วนการนำเข้าจากลาวเพิ่มขึ้นร้อยละ 87.4
ดุลการค้า เกินดุล 177.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนและเดือนก่อนที่เกินดุล 86.9 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 146.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. ตามลำดับ
ไตรมาสแรก ปี 2553 การส่งออกและนำเข้าเร่งตัว โดยการส่งออก ผ่านด่านศุลกากรในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 85.5 เป็น 801.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวดีตลอดทั้งไตรมาส จากคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมาอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน อีกส่วนหนึ่งเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก ด้านการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 46.6 เร่งตัวจากไตรมาสก่อน จากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกือบ ทุกชนิดที่เพิ่มขึ้น ทั้งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ อัญมณี และผลผลิตเกษตรแปรรูป ซึ่งขยายตัวดีในทุกตลาดส่งออกสำคัญทั้งอาเซียน ญี่ปุ่น จีน และยุโรป ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรขยายตัวร้อยละ 42.9 จากการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และใบยาสูบที่เพิ่มขึ้นมากในตลาดเวียดนาม มาเลเซีย และยุโรป สำหรับการส่งออกผ่านด่านชายแดนขยายตัวร้อยละ 64.2 เป็น 362.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. ตามการส่งออกพม่าและลาวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 70.4 และร้อยละ 83.5 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปจีนตอนใต้ที่หดตัวร้อยละ 20.3
การนำเข้า ผ่านด่านศุลกากรในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 69.0 เป็น 321.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวดีตลอดไตรมาส ตามการนำเข้าวัตถุดิบและและสินค้าทุนที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 84.0 และร้อยละ 70.2 ตามลำดับ โดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบของอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ทั้งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี และแก้ว เป็นต้น อีกทั้งมีการนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องจักรไฟฟ้าเพื่อประกอบเป็นเครื่องจักรใหม่/ซ่อมแซม ด้านการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.8 ตามการนำเข้าเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ด้านการนำเข้าผ่านด่านชายแดนขยายตัวร้อยละ 5.7 เป็น 27.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. ผลจากการนำเข้าจากลาวที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ส่วนการนำเข้าจากพม่าและจีนตอนใต้ลดลงร้อยละ 30.9 และร้อยละ 32.6 ตามลำดับ
ดุลการค้า เกินดุล 480.7 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนที่เกินดุล 242.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ 382.9 ล้านดอลลาร์ สรอ. ตามลำดับ
8. การเบิกจ่ายเงินงบประมาณผ่านคลังจังหวัดในภาคเหนือ เดือนมีนาคม 2553 มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้นจำนวน 13,753.5 ล้านบาท ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.7 โดยรายจ่ายประจำซึ่งมีจำนวน 10,574.9 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 18.0 ตามการเบิกจ่ายอย่างต่อเนื่องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและงบดำเนินงานในส่วนที่เป็นค่าตอบแทนพนักงานส่วนราชการซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ด้านรายจ่ายลงทุนมีจำนวน 3,178.6 ล้านบาทหดตัวร้อยละ 18.9 จากรายจ่ายหมวดที่ดิน/สิ่งปลูกสร้างซึ่งมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 66.9 ของงบลงทุนลดลงร้อยละ 34.5 เนื่องจากบางหน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งแล้ว สำหรับจังหวัดที่มีการเบิกจ่ายมากได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์และเชียงราย
ไตรมาสแรก ปี 2553 มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณผ่านคลังจังหวัดในภาคเหนือ 44,063.9 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.3 โดยรายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 25.6 โดยเฉพาะในส่วนของเงินอุดหนุนทั่วไปขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในส่วนที่เป็นงบลงทุนลดลงร้อยละ 43.0 เนื่องจากงบประมาณปี 2553 ได้รับการจัดสรรงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปในส่วนของงบลงทุนเร็วกว่าทุกปี จึงมีการเบิกจ่ายในช่วงเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมาแล้ว ขณะที่หมวดที่ดิน/สิ่งปลูกสร้างลดลงร้อยละ 22.2 เนื่องจากบางหน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็ง ส่วนรายจ่ายประจำซึ่งมีจำนวน 27,922.2 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.8 ตามการเบิกจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในส่วนที่เป็นงบประจำซึ่งขยายตัวร้อยละ 35.5 ตามโครงการของภาครัฐ เช่น ค่าอาหารกลางวัน นมโรงเรียน และค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น ขณะที่งบดำเนินงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าตอบแทนพนักงานส่วนราชการก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 ระยะเดียวกันของปีก่อน
9. ระดับราคา เดือนมีนาคม 2553 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 108.5 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.0 โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 โดยเฉพาะราคาข้าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.3 ตามโครงการประกันรายได้เกษตรกร หมวดอื่นๆที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 โดยหมวดยาสูบและเครื่องดื่ม มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 ตามการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นสำคัญ สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.1 ไม่เปลี่ยน แปลงจากเดือนก่อน
ไตรมาสแรก ปี 2553 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 108.2 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกัน ปีก่อนร้อยละ 4.5 โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 จากการเพิ่มขึ้นของราคาข้าวตามโครงการประกันรายได้เกษตรกร เนื้อสัตว์โดยเฉพาะสุกร จากสภาพอากาศร้อนจัดทำให้เติบโตช้า ในขณะที่หมวดอื่นๆที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากการเพิ่มขึ้นของหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารร้อยละ 10.0 ตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หมวดยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ร้อยละ 9.2 จากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และหมวดเคหสถานร้อยละ 1.1 จากการปรับลดเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือของทางการโดยเฉพาะค่าน้ำประปา ในขณะที่หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า และหมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษา และการศาสนาลดลงจากมาตรการเรียนฟรี 15 ปี สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ระดับ - 0.0
10. การจ้างงาน จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเพียงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ภาคเหนือมีกำลังแรงงานรวม 7.2 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำ 7.1 ล้านคน การจ้างงานโดยรวมยังขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรขยายตัวร้อยละ 3.3 จากการจ้างงานในสาขาการค้าส่ง/ปลีก และโรงแรม/ภัตตาคารที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 และร้อยละ 20.3 ตามลำดับ ขณะที่จ้างงานภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ทางด้านผู้ว่างงานมีจำนวน 0.06 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ 0.9 ต่ำกว่าระยะเดียวกันปีก่อนที่มีอยู่ร้อยละ 1.8 สำหรับอัตราการทำงานต่ำกว่าระดับอยู่ที่ร้อยละ 1.3 ต่ำกว่าร้อยละ 1.7 ระยะเดียวกันปีก่อน ด้านผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 รวมจำนวน 716,851 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและระยะเดียวกันปีก่อนที่มีอยู่ร้อยละ 0.7 และร้อยละ 6.4 ตามลำดับ โดยจำแนกเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จำนวน 615,505 คน และตามมาตรา 39 จำนวน 101,346 คนขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.1 และร้อยละ 23.4 ตามลำดับ
11. การเงิน ยอดคงค้างเงินฝากที่สาขาธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มียอดคงค้างทั้งสิ้น 397,406 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนและเดือนก่อนที่ร้อยละ 3.4 และร้อยละ 2.6 ตามลำดับ โดยยอดคงค้างของเงินฝากเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 5,861 ล้านบาท จากเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝาก ออมทรัพย์ของส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้เงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลกและลำปาง ด้านเงินให้สินเชื่อมียอดคงค้าง 308,652 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ขยายตัวต่อเนื่องจากร้อยละ 2.0 เดือนก่อน โดยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้ายอดคงค้างของเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 1,585 ล้านบาท จากความต้องการใช้สินเชื่อของหลายภาคธุรกิจ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ ธุรกิจลิสซิ่ง กิจการขนส่ง รับเหมาก่อสร้าง และสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล โดยเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นมากที่จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลกและเชียงราย สำหรับสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ร้อยละ 77.7 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 78.0 ระยะเดียวกันปีก่อน
สำหรับเดือนมีนาคม 2553 (ข้อมูลเบื้องต้น) เงินฝากของสาขาธนาคารพาณิชย์ มียอดคงค้างทั้งสิ้น 398,901 ล้านบาท ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.5 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 3.4 เดือนก่อน ด้านเงินให้สินเชื่อ มียอดคงค้าง 316,630 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.1 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 2.9 เดือนก่อน โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ร้อยละ 79.4 ใกล้เคียงกับร้อยละ 79.0 ระยะเดียวกันปีก่อน
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
ข้อมูลเพิ่มเติม : คุณสุรินทร์ อินต๊ะชุ่ม
โทร 0 5393 1166
E-mail: [email protected]
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย