ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้เดือนมีนาคม ปี 2553 ขยายตัวต่อเนื่อง จากรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นตามราคาและปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น ผลผลิตสัตว์น้ำทั้งจากการทำประมงทะเลและการเพาะเลี้ยงกุ้งเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจากการผลิตเพื่อการส่งออกที่ขยายตัวทุกประเภท และการผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศ ซึ่งจากภาคการผลิตที่ขยายตัว เป็นผลให้การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี และการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนในภาคแรงงาน ความต้องการจ้างงานของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เงินฝากและเงินให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการลดลง
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยรายได้ของเกษตรกรขยายตัว จากการปรับเพิ่มขึ้นทางด้านราคาเป็นสำคัญ ขณะที่ปริมาณผลผลิตปรับลดลงเล็กน้อย ส่วนปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำจากการทำประมงทะเลและการเพาะเลี้ยงกุ้งเพิ่มขึ้น และการผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวทุกประเภท ทั้งยางแปรรูป อาหารทะเลแปรรูป อาหารทะเลกระป๋อง ถุงมือยาง ไม้ยางพารา และดีบุก ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวขยายตัวดีโดยเฉพาะในภาคใต้ฝั่งตะวันตกในจังหวัดภูเก็ตและกระบี่ ส่งผลให้การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว รวมทั้งความต้องการจ้างงานแรงงานของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการลดลงตามการลดลงของรายจ่ายลงทุน สำหรับอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2553 มีดังนี้
1. ภาคเกษตร ดัชนีรายได้ของเกษตรกรในภาคใต้ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 94.5 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาและปริมาณผลผลิต โดยดัชนีราคาพืชผลเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 91.4 ตามการเพิ่มขึ้นของราคายางแผ่นดิบชั้น 3 สูงถึงกิโลกรัมละ 101.41 บาท เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.46 บาท และราคาปาล์มน้ำมัน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.87 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย ขณะเดียวกันดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 หลังจากลดลงติดต่อกันมา 2 เดือน
ด้านการทำประมงทะเล สัตว์น้ำนำขึ้นท่าเทียบเรือประมงขององค์การสะพานปลาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 โดยเฉพาะในท่าเทียบเรือสงขลาและปัตตานี มีสัตว์น้ำจากการทำประมงในน่านน้ำ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้น ส่วนการเพาะเลี้ยงกุ้ง มีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 25.0 ส่วนใหญ่เป็นกุ้งขนาดเล็ก ส่งผลให้ราคากุ้งขนาดเล็กราคาปรับลดลง ขณะที่กุ้งขนาดใหญ่ 50 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.67 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 ดัชนีรายได้เกษตรกรขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 79.1 จากการปรับเพิ่มขึ้นด้านราคา โดยดัชนีราคาพืชผลเกษตรที่สำคัญเพิ่มขึ้นร้อยละ 82.4 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคายางพาราและปาล์มน้ำมันเป็นสำคัญ โดย ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 96.78 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.38 บาท ในไตรมาสเดียวกันปีก่อนกว่าเท่าตัว และราคาปาล์มน้ำมันเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.98 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ด้านปริมาณผลผลิตลดลงเล็กน้อย โดยดัชนีผลผลิตพืชผลเกษตรปรับลดลงร้อยละ 1.4 แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับที่ลดลงร้อยละ 18.4 ในไตรมาส4 ปีก่อน เนื่องจาก ผลผลิตหลัก ได้แก่ ยางพาราและปาล์มน้ำมัน เพิ่มขึ้น
ส่วนปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำทั้งจากการทำประมงทะเลและการเพาะเลี้ยงกุ้งเพิ่มขึ้น ปริมาณและมูลค่าสัตว์น้ำนำขึ้นที่ท่าเทียบเรือประมงทางการในภาคใต้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 และ 2.9 ตามลำดับ เนื่องจากมีการนำสัตว์น้ำจากการทำประมงในน่านน้ำประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียมาขึ้นท่าเทียบเรือประมงสงขลาและปัตตานีเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันปริมาณกุ้งจากการเพาะเลี้ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.0 ด้านราคาปรับลดลงทุกขนาด โดยกุ้งขนาด 50 ตัวต่อกิโลกรัม ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 128.40 บาท ลดลงร้อยละ 6.5
2. ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัว โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 จากที่ขยายตัวในอัตราร้อยละ 17.3 ในเดือนก่อน เป็นผลจากการขยายตัวในภาคการผลิตอุตสาหกรรมยางแปรรูป ถุงมือยาง อาหารทะเลแปรรูป และอาหารกระป๋อง รวมทั้งไม้ยางแปรรูปและน้ำมันปาล์ม โดยการผลิตและการส่งออกยาง รวมทั้งไม้ยางแปรรูป ขยายตัวดีตามความต้องการใช้ยางของประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ขณะที่การส่งออกอาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปขยายตัวดีต่อเนื่อง ผลจากคู่แข่งทั้งประเทศอินโดนีเซียและจีนประสบปัญหาในด้านการเพาะเลี้ยง
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.6 ตามการขยายตัวของการผลิตอุตสาหกรรมทุกประเภท โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก ปรับตัวดีขึ้นตามการผลิตยาง ถุงมือยาง อาหารทะเลแช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง และไม้ยางแปรรูป ส่วนการผลิตน้ำมันปาล์มดิบซึ่งเป็นการผลิตเพื่อการใช้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ เร่งตัวขึ้นมาก เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงที่ผ่านมาทำให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกเร็วกว่าฤดูกาลปกติ อย่างไรก็ตามจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งทำให้อัตราการให้น้ำมันลดลง
3. การท่องเที่ยว ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงทั้งภาคใต้ฝั่งตะวันตก ภาคใต้ตอนล่างและภาคใต้ฝั่งตะวันออก โดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในภาคใต้ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 27.4 ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวในอัตราสูงร้อยละ 71.3 สำหรับอัตราการเข้าพักเดือนนี้เฉลี่ยร้อยละ 63.0 ทั้งนี้ สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และการออกประกาศเตือนการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของประเทศต่างๆ เริ่มส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของภาคใต้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 การท่องเที่ยวของภาคใต้ขยายตัวดี โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่ผ่านตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.1 เนื่องจากการทำการตลาดในระยะใกล้ เช่น จีน ออสเตรเลีย และอินเดีย ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวขยายตัว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และการออกประกาศเตือนการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของประเทศต่างๆ เริ่มส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของภาคใต้ ในปลายไตรมาส โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน
4. การจ้างงาน ความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น จากตำแหน่งงานว่างที่ผู้ประกอบการแจ้งผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดในภาคใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 72.7 และผู้ที่ได้รับการบรรจุงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ขณะที่มีผู้มาสมัครงานลดลงร้อยละ 14.2 ส่วนข้อมูลด้านการประกันตนตามมาตรา 33 จากสำนักงานประกันสังคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของการท่องเที่ยวและภาคการผลิต โดยจำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จากสำนักงานประกันสังคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ขณะเดียวกันตำแหน่งงานว่างที่ผู้ประกอบการแจ้งผ่านสำนักงานจัดหางานในภาคใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.7 และการบรรจุงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 แต่ผู้มาสมัครงานลดลงร้อยละ 18.6
5. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว โดยดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนของภาคใต้ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 8.4 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้ทุกหมวดทั้ง การจดทะเบียนรถ ภาษีมูลค่าเพิ่ม การใช้เชื้อเพลิง และการใช้ไฟฟ้าในที่อยู่อาศัย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายได้ของเกษตรกรและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 การอุปโภคบริโภคขยายตัวจากปัจจัยสนับสนุนได้แก่ รายได้เกษตรกรที่สูงขึ้นและการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้ทุกหมวดทั้งการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หมวดยานยนต์ และการใช้ไฟฟ้าในที่อยู่อาศัย มีเพียงการใช้เชื้อเพลิงที่ลดลงเล็กน้อย
6. การลงทุนภาคเอกชน การลงทุนโดยรวมฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนของมาตรการภาครัฐเป็นสำคัญ ส่งผลให้เครื่องชี้สำคัญ ได้แก่ ดัชนีการลงทุนภาคการก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 การส่งเสริมการลงทุนของ BOI ซึ่งมีจำนวนเงินลงทุนของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 และการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลรายใหม่ ขยายตัวร้อยละ 77.1
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างในภาคใต้ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9.2 เนื่องจากฐานในปีก่อนสูงจากการก่อสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 การลงทุนในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน สะท้อนจากเครื่องชี้สำคัญทุกตัว โดยพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI 27 โครงการ เงินลงทุนรวม 8,080.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.1 และ156.1ตามลำดับ ในจำนวนนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ 3 โครงการ ตั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 โครงการ คือโครงการยางผสม เงินลงทุน 3,103.7 ล้านบาทและถุงมือยาง เงินลงทุน 890.3 ล้านบาท อีก 1 โครงการเป็นอาหารสำเร็จรูป ที่จังหวัดสงขลา เงินลงทุน 1,036.0 ล้านบาท ขณะเดียวกันการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลรายใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7
7. ภาคการคลัง การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการต่างๆ ในภาคใต้ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.5 ตามการลดลงของการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนและรายจ่ายประจำ ที่ลดลงร้อยละ 2.6 และ 1.2 อย่างไรก็ตาม จากมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาล ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 เป็นต้นมา สูงกว่าเป้าหมาย
ส่วนการจัดเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26.7 เป็นการเพิ่มขึ้นของภาษีสรรพากรและภาษีสรรพสามิตเป็นสำคัญ
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการลดลงร้อยละ 2.0 ตามการลดลงของรายจ่ายลงทุนร้อยละ 10.7 ส่วนรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5
การจัดเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 จากการจัดเก็บภาษีสรรพากรและภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 และ 53.3 ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2552
8. การค้าต่างประเทศ มูลค่าการค้ารวมขยายตัวจากการส่งออกได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สรอ.เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 69.5 ตามการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยางพารา ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.3 ตามการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 การส่งออกเร่งตัวสูงขึ้น ร้อยละ 66.8 ตามการเพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มยางพารา และอิเลคทรอนิกส์ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 21.1 ตามอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกหลังจากที่หดตัวไปตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2552 โดยมีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 นอกจากนี้ สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำยางสังเคราะห์และน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่ สัตว์น้ำแช่แข็ง และอุปกรณ์ก่อสร้าง ปรับตัวลดลง
9. ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 คาดว่าเงินฝากและเงินให้สินเชื่อของสาขาธนาคารพาณิชย์ในภาคใต้ขยายตัวร้อยละ 7.3 และร้อยละ 6.5 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งยางพาราและปาล์มน้ำมัน
10. ระดับราคา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของภาคใต้อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.6 โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่เร่งตัวขึ้นร้อยละ 6.5 ตามราคาที่เพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า และดัชนีราคาในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับ ร้อยละ 0.7 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.5 ในเดือนก่อน
ไตรมาสที่ 2 ปี 2553 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของภาคใต้อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.6 เป็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เนื่องจากราคาอาหารสดเพิ่มขึ้น ส่วนหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ตามราคาสินค้ากลุ่มพลังงาน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับร้อยละ 0.8
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้
ข้อมูลเพิ่มเติม : นาฏน้อย แก้วมีจีน
โทร.0-7423-6200 ต่อ 4329
e-mail : [email protected]
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย