สรุปภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาสแรก ปี 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 6, 2010 14:34 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฉบับที่ 8/2553

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือไตรมาสแรก ปี 2553 ขยายตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวจากไตรมาสก่อน ตามการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาพืชผลยังอยู่ในเกณฑ์ดีทำให้รายได้เกษตรกรสูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนตามงบประมาณของภาครัฐที่ลดลง เนื่องจากในไตรมาสก่อนมีการเร่งเบิกจ่ายไปมากโดยเฉพาะงบลงทุนที่ขยายตัวค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของจังหวัดบริเวณชายแดน ยังขยายตัวดีต่อเนื่องทั้งชายแดนไทย - สปป. ลาว และไทย - กัมพูชา ตามการค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน

เงินฝากธนาคารพาณิชย์ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ขณะที่สินเชื่อ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน โดยสินเชื่อที่ขยายตัว ได้แก่ สินเชื่อเพื่อ ซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อสำหรับโรงสีข้าวและส่งออกพืชไร่ สินเชื่อในอุตสาหกรรมเพื่อผลิต ชีวมวล และสินเชื่อรับเหมาก่อสร้าง

สำหรับสถานการณ์การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตามภาวะตลาดโลก และราคาน้ำประปาที่สูงขึ้นเนื่องจากการปรับลดมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล

สำหรับรายละเอียด มีดังต่อไปนี้

1. ภาคเกษตรกรรม ดัชนีมูลค่าผลผลิตเกษตรเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.9 ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 โดยดัชนีราคาผลผลิตเกษตรยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.7 ตามราคามันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีผลผลิตเกษตรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.4 เนื่องจากผลผลิตอ้อยโรงงานและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นในขณะที่ผลผลิตข้าวและ มันสำปะหลังลดลง

ข้าว ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 14,316 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.0 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 เนื่องจากผู้ส่งออกส่วนใหญ่มีสต็อกเพียงพอต่อการส่งมอบ และยังไม่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการในตลาดต่างประเทศลดลงและราคาส่งออกยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 10,803 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 46.2 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.5 เนื่องจากความต้องการของตลาดในประเทศจีนสูงขึ้น

มันสำปะหลัง ราคาขายส่งหัวมันสดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.06 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 60.7 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมีผลผลิตหัวมันออกสู่ตลาดค่อนข้างน้อย เนื่องจากการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้งทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ส่วนราคามันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.84 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 73.5 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 เนื่องจากความต้องการส่งออกไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปใช้ผลิตเอทานอล

อ้อยโรงงาน ปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งสิ้น 16.8 ล้านตัน ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.6 ผลิตน้ำตาลได้ 18.1 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 11.7 สำหรับเปอร์เซ็นต์น้ำตาลในอ้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 101.7 กิโลกรัมต่อตัน ต่ำกว่าระยะเดียวกันของปีก่อน 108.4 กิโลกรัมต่อตัน

ราคาอ้อยที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยตันละ 1,007.5 บาท สูงขึ้นร้อยละ 33.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการของโรงงานน้ำตาลยังคงมีอย่างต่อเนื่องตามสต็อกน้ำตาลของโลกที่ลดลงมาก

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.61 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.3 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ 2.9 เนื่องจากโรงงานอาหารสัตว์มีความต้องการเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของการผลิตไก่เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ

2. ภาคอุตสาหกรรม การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.2 ตามการหดตัวของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากการบริโภคลดลงและกำลังการผลิตบางส่วนเปลี่ยนไปทำการผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลังลดลงจากปริมาณผลผลิตวัตถุดิบที่ลดลงเนื่องจากการระบาดของเพลี้ยแป้ง สำหรับอุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัวดีตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ในไตรมาสนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD) และอุตสาหกรรมน้ำตาล

3. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้เกษตรกรและค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถาบันการเงินคลายเกณฑ์การให้สินเชื่อ ทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขยายตัวจากไตรมาสก่อน

เครื่องชี้ที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.8 ขยายตัวจากไตรมาสก่อน ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่

ปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ และรถบรรทุกส่วนบุคคล เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 44.2 ร้อยละ 38.4 และร้อยละ 16.0 ตามลำดับ เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน

ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน

4. การลงทุนภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก นักลงทุนเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจ แต่บางส่วนยังกังวลกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้ชะลอการลงทุน โดยมีเครื่องชี้ที่สำคัญ ได้แก่

พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 32.7 ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการชะลอตัวจากพื้นที่เพื่อการพาณิชยกรรม เนื่องจากในไตรมาสก่อนมีการยื่นขออนุญาตก่อสร้างของโครงการบ้านจัดสรร ธุรกิจการค้า และการยื่นขออนุญาตตัดแปลงอาคารของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในจังหวัดอุดรธานี

การจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.6 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของบริษัทจำกัดตั้งใหม่ แต่ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากไตรมาสก่อนมีการจดทะเบียนของบริษัทขนาดใหญ่ ในจังหวัดขอนแก่น จำนวนเงินทุน 1,500 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นับรวมแล้วยังคงเป็นการชะลอตัวจากบริษัทจำกัดตั้งใหม่

เงินลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 51.2 เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ 37.1 เนื่องจากไตรมาสนี้มีโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ในจังหวัดขอนแก่นที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน เงินลงทุน 1,520 ล้านบาท

ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.4 แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินทุนของโรงงานอุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.2 หดตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสก่อนมีโรงงานขนาดใหญ่ที่เปิดดำเนินการในจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งหากไม่นับรวมแล้วจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน

5.ภาคการคลัง

รายได้ของภาคระฐบาล ไตรมาสนี้สามารถจัดเก็บภาษีอากรรวมทั้งสิ้น 11,924.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.8 ขยายตัวจากไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของภาษีทุกประเภท มีรายละเอียดดังนี้

ภาษีสรรพากรจัดเก็บได้ 6,414.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 ขยายตัวจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามการจัดเก็บภาษีจากฐานเงินเดือนและภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการขายที่ดินที่สำนักงานที่ดินจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาคธุรกิจมีผลประกอบการดีขึ้น

ภาษีสรรพสามิตจัดเก็บได้ 5,458.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 ขยายตัวจากไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของภาษีสุรา ภาษียาสูบ และภาษีเครื่องดื่ม เป็นผลจากการปรับอัตราภาษีสุราและยาสูบเป็นสำคัญ

ภาษีอากรขาเข้าจัดเก็บได้ 50.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 ขยายตัวเป็นไตรมาสแรก หลังจาก ที่หดตัวมาหลายไตรมาส โดยด่านศุลกากรมุกดาหาร ด่านศุลกากรนครพนม ด่านศุลกากรท่าลี่ และด่านศุลกากรหนองคายที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ตามการนำเข้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และผลผลิตทางการเกษตรเป็นสำคัญ

การเบิกจ่ายงบประมาณ ในไตรมาสนี้ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 69,651.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากรายจ่ายลงทุนลดลง เนื่องจากสำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเบิกจ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับจัดสรรจากเงินงบประมาณของปีที่แล้ว ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่เงินอุดหนุนที่ได้รับจัดสรรของเงินงบประมาณปีนี้ มีการเบิกจ่ายในไตรมาสก่อน ส่งผลให้ฐานปีก่อนสูง มีรายละเอียดดังนี้

รายจ่ายปรัจำ 41,639.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 จากรายจ่ายหมวดเงินเดือนและหมวดค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น

รายจ่ายลงทุน 28,009.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.7 เนื่องจากสำนักงานส่งเสริมการปกครอง ส่วนท้องถิ่นเบิกจ่ายรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปลดลงในเดือนมกราคม แต่อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม รายจ่ายลงทุนขยายตัวต่อเนื่อง จากการเบิกจ่ายรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุนทั่วไป หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ และหมวดที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ส่วนราชการที่มีการเบิกจ่ายลดลง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานทางหลวง สำนักงานชลประทาน สำหรับส่วนราชการที่เบิกจ่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

6. การค้าต่างประเทศ

การค้าชายแดนไทย - ลาว ในไตรมาส 1 ปี 2553 มีมูลค่าการค้า 22,566.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 37.0 และจากไตรมาสที่ 4 ปี 2552 ร้อยละ 10.8 จากการเพิ่มขึ้นทั้งมูลค่าการส่งออกและนำเข้า ตามรายละเอียดดังนี้

การส่งออก มีมูลค่า 17,417.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของ ปีก่อน และยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 52 ร้อยละ 13.1 เป็นผลจากการส่งออกเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับการขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม น้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นทั้งจากปริมาณและราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน วัสดุก่อสร้างและเหล็ก เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติกและเคมีภัณฑ์

การนำเข้า มีมูลค่า 5,148.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปี 2552 ร้อยละ 4.0 จากการนำเข้าสินแร่ทองแดงตามราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจากประเทศจีน ผลผลิตการเกษตร และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศเวียดนาม

การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ในไตรมาสที่ 1 ปี 2553 มีมูลค่าการค้า 14,084.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.5 จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกและนำเข้า และยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี ร้อยละ 5.9 โดยมีรายละเอียดดังนี้

การส่งออก มีมูลค่า 13,150.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน ของปีก่อน และยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปี 2552 ร้อยละ 10.3 จากการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน น้ำตาลทราย ยานพาหนะและส่วนประกอบโดยเฉพาะอะไหล่รถจักรยานยนต์และรถยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลการเกษตรประเภทรถแทรกเตอร์ รถไถและเก็บเกี่ยว รวมถึงผ้าและอาหารสัตว์

การนำเข้า มีมูลค่า 933.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 88.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของ ปีก่อน แต่หดตัวจากไตรมาสที่ 4 ปี 2552 ร้อยละ 31.9 จากการนำเข้าเศษอลูมิเนียม เศษเหล็ก เศษทองแดง และเศษกระดาษ ตามราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อน รวมถึงการนำกลับสินค้าทุนประเภทเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ในโครงการก่อสร้างและการเกษตร ส่วนการนำเข้ามันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการเวียดนามเข้ามารับซื้อในราคาที่สูงกว่า

7. ระดับราคา ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เป็นผลจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2

หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นได้แก่ หมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้งร้อยละ 17.5 หมวดผักและผลไม้ร้อยละ 17.5 สำหรับหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นได้แก่ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ร้อยละ 15.5 จากผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.5 รองลงมาหมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสารร้อยละ 10.4

สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ลดลงร้อยละ 0.1

8. ภาคการจ้างงาน ด้านภาวการณ์จ้างงาน มีตำแหน่งงานว่าง 21,342 อัตรา เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 1.2 เท่า ผู้ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงาน 11,720 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.5 สำหรับ ผู้สมัครงาน 32,682 คน ลดลงร้อยละ 25.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นทำให้มีตำแหน่งงานว่าง และการบรรจุเข้าทำงานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิต และการขายส่ง การขายปลีก

สำหรับคนไทยในภาคที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ จำนวน 20,060 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของ ปีก่อนร้อยละ 0.1 ส่วนใหญ่ลดลงจากการเดินทางไปสาธารณรัฐเกาหลี ลิเบีย อิสราเอล และสิงค์โปร์ จังหวัดที่มีคนไทยขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศมาก ได้แก่ อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น

9. ภาคการเงิน ธนาคารพาณิชย์ ณ ไตรมาสแรกของปี 2553 เงินฝากธนาคารพาณิชย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ชะลอจากไตรมาสก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากกระแสรายวัน โดยส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของส่วนราชการและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อรอการใช้จ่ายตามงบประมาณแผ่นดินและโครงการไทยเข้มแข็ง (SP2) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่วนเงินฝากประจำลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ในระดับต่ำ และผู้ฝากไปลงทุนในแหล่งอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

ด้านเงินให้สินเชื่อ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน เนื่องจากการผ่อนคลายในการพิจารณาให้สินเชื่อ ประกอบกับเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น สำหรับสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าเกษตร (โรงสีข้าว ส่งออกพืชไร่) สินเชื่อในอุตสาหกรรมเพื่อผลิตชีวมวล และ สินเชื่อรับเหมาก่อสร้าง

ธนาคารเฉพาะกิจ (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) ณ ไตรมาสแรกของปี 2553 เงินฝากสถาบันการเงินเฉพาะกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของเงินฝากของธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นสำคัญ ในขณะที่เงินฝากของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรชะลอตัว ด้านเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งตัวขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นสำคัญ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อธนาคารออมสิน และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในขณะที่สินเชื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรชะลอตัว

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลเพิ่มเติม : นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา

โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3411

e-mail: [email protected]

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ