สรุปภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนพฤษภาคม 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 1, 2010 10:12 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฉบับที่ 10/2553

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนพฤษภาคม 2553 ขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอตัวลงจากเดือนเมษายน ตามการอุปโภคบริโภคของประชาชน และการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจเอกชนลดลง จากสถานการณ์ความไม่สงบของทางการเมือง กอปรกับการใช้จ่ายของภาครัฐโดยเฉพาะงบลงทุน ที่ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม การค้าชายแดนไทย - สปป. ลาว และ ไทย - กัมพูชา ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

เงินฝากและสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเงินฝากขยายตัวจากเงินฝากออมทรัพย์ ส่วนสินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นตามสินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนตามราคาผักสดที่สูงขึ้นจากสภาพอากาศร้อนทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น

สำหรับรายละเอียด มีดังต่อไปนี้

1. ภาคเกษตรกรรม ดัชนีมูลค่าผลผลิตเกษตรเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30.5 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 28.5 เป็นผลจากดัชนีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.0 ตามราคาข้าวเหนียว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สูงขึ้นมาก ขณะที่ดัชนีผลผลิตเกษตรลดลงร้อยละ 1.1 หดตัวน้อยลงจากเดือนก่อนที่ลดลง ร้อยละ 3.4 เนื่องจากเกษตรกรระบายข้าวออกสู่ตลาดมากขึ้น

ข้าว ราคาขายส่งข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 13,308 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.6 ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 1.0 เนื่องจากผู้ส่งออกส่วนใหญ่มีสต็อกเพียงพอต่อการส่งมอบ และผู้นำเข้าจากต่างประเทศชะลอการรับซื้อเนื่องจากราคายังอยู่ในเกณฑ์สูง ขณะที่ราคาขายส่งข้าวเปลือกเหนียว 10% (เมล็ดยาว) เฉลี่ยเกวียนละ 12,103 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 66.8 ขยายตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.5 เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง

มันสำปะหลัง ราคาขายส่งหัวมันสดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.66 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 131.3 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 126.1 เนื่องจากผลผลิตหัวมันออกตลาดน้อยจากการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้ง ขณะที่ราคามันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.41 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 75.1 ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.1

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาขายส่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.16 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27.9 ขยายตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดรุ่น 2 ออกสู่ตลาดน้อยจากผลกระทบของภาวะภัยแล้ง และอากาศร้อน

2. ภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของภาคในเดือนนี้ลดลงร้อยละ 38.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำตาลหดตัวร้อยละ 75.9 เนื่องจากโรงงานน้ำตาลปิดหีบเร็วกว่าปีก่อนตามการลดลงของวัตถุดิบ อุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลังหดตัวร้อยละ 40.0 เป็นผลจากปริมาณวัตถุดิบที่เข้าสู่ตลาดน้อยลง จากการระบาดเพลี้ยแป้งและภัยแล้ง อุตสาหกรรมเครื่องดื่มหดตัวร้อยละ 27.4 จากการบริโภคที่ชะลอลงและได้มีการผลิตไว้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมที่ยังมีการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ก็ชะลอลงจากเดือนก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD)

3. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตร ที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง ประกอบกับเกษตรกรได้รับเงินชดเชยจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น แต่ชะลอตัวจากเดือนก่อน จากสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่าย โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชน เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.1 ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 เครื่องชี้ที่สำคัญมีดังนี้

ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.4 ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 แต่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากห้างสรรพสินค้ายังคงเพิ่มขึ้น

ปริมาณการจดทะเบียนรถทุกประเภทเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอตัวจากเดือนก่อน โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.3 ร้อยละ 7.4 และร้อยละ 13.2 ตามลำดับ ทั้งนี้การจดทะเบียนรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นทุกจังหวัด ส่วนหนึ่งเกิดจากกิจกรรมส่งเสริมการขาย ที่จัดเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดภาคการศึกษา ประกอบกับเกษตรกรได้รับเงินชดเชยจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น สำหรับการจดทะเบียนรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นเกือบทุกจังหวัดยกเว้นการจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลลดลงในจังหวัดนครพนม และการจดทะเบียนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลลดลงในจังหวัดมุกดาหาร นครราชสีมา ยโสธร หนองบัวลำภู และกาฬสินธุ์

สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.5 ชะลอตัวจากเดือนก่อน

4. การลงทุนภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนเมษายน เนื่องจากความเชื่อมั่นของธุรกิจเอกชนลดลง จากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน โดยมีเครื่องชี้ที่สำคัญ ดังนี้

พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร 209,833 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 94.8 เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างเพื่อพาณิชยกรรมและเพื่อการบริการ โดยมีการขออนุญาตก่อสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ในจังหวัดอำนาจเจริญ 1 แห่งจำนวน 9,158.04 ตารางเมตร และมีการขออนุญาตก่อสร้างโรงแรม ในจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานี รวม 4 แห่งจำนวน 21,716 ตารางเมตร

เงินลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน จำนวน 4,093.3 ล้านบาท เร่งตัวขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 2.0 เท่า ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้น 2.7 เท่า เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนตั้งแต่ 400 ล้านบาทขึ้นไป 5 โครงการ เงินลงทุนรวม 3,840 ล้านบาท ได้แก่ โครงการผลิตเอทานอล ในจังหวัดอุบลราชธานี ของบริษัท อุบล ไบโอ เอทธานอล จำกัด เงินลงทุน 1,020 ล้านบาท โครงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในจังหวัดนครราชสีมา ของบริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด เงินลงทุน 850 ล้านบาท โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด ของบริษัท เอส พี พี ทรี จำกัด และบริษัท เอส พี พี ไฟว์ จำกัด เงินลงทุน 783 ล้านบาท และ 787 ล้านบาท ตามลำดับ และโครงการซ่อมบำรุงอากาศยานรวมทั้งชิ้นส่วนอุปกรณ์อากาศยานและเครื่องใช้ในอากาศยาน ในจังหวัดอุบลราชธานี ของบริษัท สแกนดิเนเวียน แอร์คารฟท์ เมนเทนแนนซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด เงินลงทุน 400 ล้านบาท

ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อธุรกิจแลัอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.9 ชะลอตัวจากเดือนก่อน

แต่อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ มีเงินทุนรวม 343.5 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.7 หดตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว เนื่องจากในเดือนก่อนมีการขอจดทะเบียนธุรกิจขนาดใหญ่หลายราย สำหรับเดือนนี้การจดทะเบียนบริษัทตั้งใหม่ลดลงร้อยละ 37.8 ในขณะที่การจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3

โรงงานอุตสาหกรรมที่ได้ระบอนุญาตให้ประกอบกิจการ มีจำนวนเงินทุน 346.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 76.8 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว เนื่องจากในเดือนก่อน มีโรงงานขนาดใหญ่ มีเงินลงทุนสูงได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการหลายแห่ง

5.ภาคการคลัง รายได้ของภาครัฐบาล สามารถจัดเก็บภาษีอากรรวมทั้งสิ้น 4,561.8 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงจากเดือนก่อน เป็นผลจากการหดตัวของภาษีสรรพสามิต และอากรขาเข้า ในขณะที่ภาษีสรรพากรขยายตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้

ภาษีสรรพสามิตจัดเก็บได้ 1,385.4 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 29.2 ตามการหดตัวของภาษีสุรา เนื่องจากในเดือนพฤษภาคมปีก่อนผู้ประกอบการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ยื่นชำระภาษีล่วงหน้าไว้สูง ก่อนการปรับเพิ่มอัตราภาษี ทำให้ฐานปีก่อนสูง

อากรขาเข้าจัดเก็บได้ 12.0 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 32.3 เป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าในด่านศุลกากรนครพนม ด่านศุลกากรหนองคาย และด่านศุลกากรท่าลี่ลดลง โดยเฉพาะอากรขาเข้าจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ภาษีสรรพากรจัดเก็บได้ 3,164.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 ขยายตัวจากเดือนก่อน เนื่องจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจากภาคธุรกิจมีผลประกอบการดีขึ้น และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้น จากภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน และการจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ชะลอตัวจากเดือนก่อน ตามการจัดเก็บภาษีจากภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และธุรกิจนำเข้าชะลอลง

การเบิกจ่ายงบประมาณ เดือนนี้มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 15,625.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34.0 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน มีรายละเอียดดังนี้

รายจ่ายประจำ 13,002.3 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายค่าตอบแทนพนักงานราชการลดลง

รายจ่ายลงทุน 2,622.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 75.1 ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปลดลง ส่วนราชการที่มีการเบิกจ่ายลดลง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำหรับส่วนราชการที่มีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

6. การค้าต่างประเทศ การค้าชายแดนไทย - ลาว ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกและนำเข้า ตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมีมูลค่าการค้า 9,946.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 72.1 โดยมีรายละเอียดดังนี้

การส่งออก มูลค่า 7,549.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.8 จากการส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ไปยังประเทศจีนผ่านทางด่านศุลกากรมุกดาหาร และเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง เป็นสำคัญ นอกจากนั้นสินค้าอื่น ที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง เหล็ก สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนโดยเฉพาะเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญที่มีมูลค่าลดลงได้แก่ ยานพาหนะและส่วนประกอบ

การนำเข้า มูลค่า 2,396.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.2 จากการนำกลับเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ในการ ขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลี่ยม สินแร่ทองแดง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจากประเทศจีน และวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากเวียดนาม ส่วนสินค้านำเข้าที่มูลค่าลดลง ประกอบด้วย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม้แปรรูป รวมถึงยานพาหนะและส่วนประกอบ

การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 35.2 จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกและนำเข้า โดยมีมูลค่าการค้า5,498.3 ล้านบาท ตามรายละเอียดดังนี้ การส่งออก มูลค่า 5,160.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.4 จากการส่งออกวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะปูนซิเมนต์ที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน น้ำตาลทราย ยานพาหนะและส่วนประกอบโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลการเกษตรโดยเฉพาะรถแทรกเตอร์ รวมถึงวัตถุดิบประเภทผ้า อาหารสัตว์ และผลิตภัณฑ์พลาสติก

การนำเข้า มูลค่า 338.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 141.7 จากการนำเข้าเศษเหล็ก และเศษอลูมิเนียม ที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวตามราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อน ส่วนการนำเข้ามันสำปะหลัง ยังคงลดลงต่อเนื่องจากการเข้ามาแข่งขันของประเทศเวียดนาม รวมถึงการนำกลับเครื่องจักรอุปกรณ์ทั้งในการก่อสร้างและเกษตรกรรมก็มีมูลค่าลดลง

7. ระดับราคา เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 จากระยะเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ซึ่งเป็นผลจากราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 โดยสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดผักและผลไม้ร้อยละ 24.1 โดยเฉพาะผักสดเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.3 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนและร้อนจัดส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง รองลงมาเป็นราคาข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2

สำหรับสินค้าหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ร้อยละ 7.9 โดยเฉพาะยาสูบเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสารร้อยละ 5.8 ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 สำหรับหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ถึงแม้การอุดหนุนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาและช่วยเหลือค่าเครื่องแบบนักเรียนตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาล สิ้นสุดในเดือนนี้ (เริ่มให้ความช่วยเหลือในเดือนพฤษภาคม 2552)

สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 1.5

8. ภาคการจ้างงาน ณ เดือนเมษายน 2553 มีกำลังแรงงานรวมทั้งสิ้น 12.3 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำ 11.8 ล้านคน ทำงานในภาคเกษตรกรรม 4.9 ล้านคน และนอกภาคเกษตร 6.9 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ทำงานด้านการขายส่ง การขายปลีก อุตสาหกรรมการผลิตและการก่อสร้าง สำหรับผู้ว่างงานมีจำนวน 0.2 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.6

ด้านภาวะการจ้างงานเดือนเมษายน 2553 มีการบรรจุงานเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยผู้ที่ได้รับการบรรจุงานมีจำนวน 5,899 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 64.8 และตำแหน่งงานว่างมีจำนวน 6,523 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.3 ในขณะที่ผู้สมัครงานจำนวน 10,847 คน ลดลงร้อยละ 25.4 ตำแหน่งงานว่างส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดนครราชสีมา เพราะมีโรงงานอุตสาหกรรมภายในจังหวัดและบริษัทต่าง ๆ ที่มีความต้องการแรงงานอีกมาก โดย ส่วนใหญ่เป็นแรงงานฝ่ายผลิตหญิงในอุตสาหกรรมทุกประเภท

สำหรับคนไทยในภาคที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศมีจำนวน 7,528 คน ลดลงร้อยละ 13.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยลดลงจากแรงงานที่เดินทางไปทำงานในประเทศลิเบีย สาธารณรัฐเกาหลี และกาตาร์ จังหวัดที่มีคนไทยขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศมากได้แก่ อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น

9. ภาคการเงินธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 ปริมาณเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในภาค มีประมาณ 421,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวของเงินฝากออมทรัพย์ ในขณะที่เงินฝากประจำและเงินฝากกระแสรายวันลดลงร้อยละ 6.2 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ

ด้านสินเชื่อ มีประมาณ 412,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการผ่อนคลายการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนการขยายตัวของสินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในเดือนนี้ ร้อยละ 97.9 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราร้อยละ 95.0 เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อมากกว่าเงินฝาก

ธนาคารเฉพาะกิจ (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 เงินฝาก ของธนาคารเฉพาะกิจในภาคมีประมาณ 221,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารออมสินร้อยละ 65.9 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยร้อยละ 44.0 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร้อยละ 8.3 และธนาคารอาคารสงเคราะห์ร้อยละ 5.0 เนื่องจากมีการปล่อยสินเชื่อ ตามมาตรการของรัฐในการช่วยเหลือภาคธุรกิจ และโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบภาคประชาชน เพิ่มขึ้น

สำหรับการดำเนินการตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบภาคประชาชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบจำนวน 525,890 ราย มูลหนี้ 54,565.1 ล้านบาท ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2553 สามารถเจรจาหนี้สำเร็จและปล่อยสินเชื่อไปแล้วจำนวน 23,425.8 ล้านบาท เป็นสินเชื่อของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 20,178.1 ล้านบาท ธนาคารออมสิน 2,616.2 ล้านบาท ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย 386.5 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 10.3 ล้านบาท และธนาคารกรุงไทยจำนวน 234.7 ล้านบาท

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลเพิ่มเติม : นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา

โทร. 0-4333-3000 ต่อ 3411 e-mail: [email protected]

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ