แท็ก
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการต่างประเทศ
โรงแรมคอนราด
คณะรัฐมนตรี
เวียดนาม
อเมริกัน
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอทั้ง 3 ข้อ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปดำเนินการด้วย ดังนี้
1. เห็นชอบร่างข้อตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามว่าด้วยความร่วมมือระดับทวิภาคีในการขจัดการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็กและการช่วยเหลือเหยื่อของการค้ามนุษย์
2. เห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าวในนามรัฐบาลไทย
3. เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในร่างข้อตกลงในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม โดยหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่า ได้รับการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ให้พิจารณาจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในระดับทวิภาคีร่วมกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อให้มีกรอบความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ร่วมกัน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ระหว่างไทย-เวียดนาม เพื่อเป็นคณะทำงานฝ่ายไทยในการพิจารณาร่างข้อตกลงร่วมกับคณะผู้แทนฝ่ายเวียดนาม ซึ่งได้ให้การรับรองร่างข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2549 โดยมีหลักการและสาระสำคัญของร่างข้อตกลงประกอบด้วยความร่วมมือของทั้งสองประเทศในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ดังนี้
1. ด้านการป้องกัน : เน้นการส่งเสริมในด้านการจัดบริการสังคม การศึกษา การฝึกอาชีพและการมีงานทำ การรณรงค์สร้างความตระหนักและเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์
2. ด้านการป้องกันคุ้มครอง : มุ่งให้ความคุ้มครองผู้ตกเป็นเหยื่อด้วยมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้เหยื่อการค้ามนุษย์ได้เข้าถึงความช่วยเหลือทั้งในด้านกฎหมายและบริการสังคม
3. ด้านการปราบปราม : จะร่วมมือกันในการสืบสวนสอบสวนการดำเนินคดี ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางอาญา การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการฝึกอบรมเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ
4. ด้านการส่งกลับคืนประเทศ : ทั้งสองฝ่ายจะต้องกำหนดให้มีหน่วยงานประสานงานกลางในด้านการรับและส่งเหยื่อการค้ามนุษย์กลับประเทศภูมิลำเนา รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือในการคืนสู่สังคม
5. ด้านการปฏิบัติงานร่วม : ทั้งสองฝ่ายจะกำหนดให้มีหน่วยงานประสานงานกลางและจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อทำหน้าที่ในการประสานงาน การวางแผนปฏิบัติงาน การดำเนินงานและการติดตามประเมินผล เพื่อให้มีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เป็นไปตามข้อตกลง
กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่างข้อตกลงแล้วมีความเห็นว่า ไม่มีข้อขัดแย้งต่อสารัตถะของข้อตกลง อย่างไรก็ดี โดยที่ข้อ 13 วรรค 2 กำหนดว่าให้จัดส่งข้อสนเทศและพยานหลักฐานที่ได้รับในเรื่องการค้ามนุษย์โดยเฉพาะหญิงและเด็กไปยังหน่วยงานผู้ประสานงานกลาง ซึ่งของฝ่ายไทยได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อจัดส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีการจัดส่งข้อสนเทศและพยานหลักฐานเพื่อนำไปใช้ ในการดำเนินคดีในศาลนั้นอาจมีประเด็นว่าต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 เพื่อให้บรรดาพยานหลักฐานและเอกสารสามารถรับฟังได้ตามกฎหมาย ดังนั้น หากมีการจัดทำคู่มือการดำเนินการตามข้อตกลงฯ ในลักษณะเดียวกับที่ไทยเคยทำกับกัมพูชา ควรมีการระบุให้ชัดเจนว่าในกรณีข้อสนเทศและพยานหลักฐานในเรื่องการค้ามนุษย์ที่จะนำไปใช้ในการดำเนินกระบวนการทางศาล จะต้องดำเนินการจัดส่งตามช่องทางที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 พฤษภาคม 2550--จบ--
1. เห็นชอบร่างข้อตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามว่าด้วยความร่วมมือระดับทวิภาคีในการขจัดการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็กและการช่วยเหลือเหยื่อของการค้ามนุษย์
2. เห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าวในนามรัฐบาลไทย
3. เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในร่างข้อตกลงในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม โดยหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่า ได้รับการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ให้พิจารณาจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในระดับทวิภาคีร่วมกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อให้มีกรอบความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ร่วมกัน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ระหว่างไทย-เวียดนาม เพื่อเป็นคณะทำงานฝ่ายไทยในการพิจารณาร่างข้อตกลงร่วมกับคณะผู้แทนฝ่ายเวียดนาม ซึ่งได้ให้การรับรองร่างข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2549 โดยมีหลักการและสาระสำคัญของร่างข้อตกลงประกอบด้วยความร่วมมือของทั้งสองประเทศในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ดังนี้
1. ด้านการป้องกัน : เน้นการส่งเสริมในด้านการจัดบริการสังคม การศึกษา การฝึกอาชีพและการมีงานทำ การรณรงค์สร้างความตระหนักและเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์
2. ด้านการป้องกันคุ้มครอง : มุ่งให้ความคุ้มครองผู้ตกเป็นเหยื่อด้วยมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้เหยื่อการค้ามนุษย์ได้เข้าถึงความช่วยเหลือทั้งในด้านกฎหมายและบริการสังคม
3. ด้านการปราบปราม : จะร่วมมือกันในการสืบสวนสอบสวนการดำเนินคดี ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางอาญา การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการฝึกอบรมเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ
4. ด้านการส่งกลับคืนประเทศ : ทั้งสองฝ่ายจะต้องกำหนดให้มีหน่วยงานประสานงานกลางในด้านการรับและส่งเหยื่อการค้ามนุษย์กลับประเทศภูมิลำเนา รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือในการคืนสู่สังคม
5. ด้านการปฏิบัติงานร่วม : ทั้งสองฝ่ายจะกำหนดให้มีหน่วยงานประสานงานกลางและจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อทำหน้าที่ในการประสานงาน การวางแผนปฏิบัติงาน การดำเนินงานและการติดตามประเมินผล เพื่อให้มีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เป็นไปตามข้อตกลง
กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่างข้อตกลงแล้วมีความเห็นว่า ไม่มีข้อขัดแย้งต่อสารัตถะของข้อตกลง อย่างไรก็ดี โดยที่ข้อ 13 วรรค 2 กำหนดว่าให้จัดส่งข้อสนเทศและพยานหลักฐานที่ได้รับในเรื่องการค้ามนุษย์โดยเฉพาะหญิงและเด็กไปยังหน่วยงานผู้ประสานงานกลาง ซึ่งของฝ่ายไทยได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อจัดส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีการจัดส่งข้อสนเทศและพยานหลักฐานเพื่อนำไปใช้ ในการดำเนินคดีในศาลนั้นอาจมีประเด็นว่าต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 เพื่อให้บรรดาพยานหลักฐานและเอกสารสามารถรับฟังได้ตามกฎหมาย ดังนั้น หากมีการจัดทำคู่มือการดำเนินการตามข้อตกลงฯ ในลักษณะเดียวกับที่ไทยเคยทำกับกัมพูชา ควรมีการระบุให้ชัดเจนว่าในกรณีข้อสนเทศและพยานหลักฐานในเรื่องการค้ามนุษย์ที่จะนำไปใช้ในการดำเนินกระบวนการทางศาล จะต้องดำเนินการจัดส่งตามช่องทางที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 พฤษภาคม 2550--จบ--