การลงนามในความตกลงเพื่อก่อตั้งสถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 7, 2011 12:00 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง การลงนามในความตกลงเพื่อก่อตั้งสถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศ เป็นองค์การระหว่างประเทศ

(Agreement for the Establishment of the International Anti — Corruption Academy as an

International Organization)

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบความตกลงเพื่อก่อตั้งสถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศเป็น องค์การระหว่างประเทศ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำภาคยานุวัติสารเพื่อเข้าเป็นภาคีความตกลงเพื่อก่อตั้งสถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศเป็นองค์การระหว่างประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ

สาระสำคัญของเรื่อง

สำนักงาน ป.ป.ช. รายงานว่า

ความตกลงดังกล่าว ถือเป็น “หนังสือสัญญา” ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนลงนาม และเนื่องจากสถาบัน IACA เป็นองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลระหว่างประเทศโดยสมบูรณ์ (full international legal personality) และมีความสามารถทางกฎหมาย (legal capacity) ในการทำสัญญา การได้มาและการจำหน่ายออกไปทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ การยื่นฟ้องคดีและการต่อสู้คดีในกระบวนการทางกฎหมายและการดำเนินการอื่นๆ ที่อาจจำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และกิจกรรมของสถาบัน IACA ที่จะเข้ามาดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในประเทศไทยหรือทำสัญญาต่างๆ กับรัฐบาลไทยในอนาคต โดยอาจต้องออกกฎเพื่อรองรับการทำงานของสถาบัน IACA และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่สถาบัน IACA และสมาชิก แต่ในรายละเอียดในของความตกลงกำหนดให้เพียง สาธารณรัฐออสเตรียเท่านั้นที่ต้องให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่สถาบัน IACA และสมาชิก โดยสถาบัน IACA อาจทำความตกลงฯ กับรัฐอื่นๆ เพื่อให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันตามความเหมาะสม ดังนั้น ตราบใดที่สถาบัน IACA ยังไม่ทำความตกลงฯ กับประเทศไทยก็ยังไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายเพื่อรองรับการดำเนินงานของสถาบัน IACA ความตกลงฯ จึงไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนการดำเนินการให้เป็นผลผูกพัน นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. จะต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบความตกลงฯ ก่อนที่จะลงนาม และขออนุมัติให้ กต. จัดทำภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) เพื่อเข้าเป็นภาคีความตกลงฯ และต้องให้ความเห็นประกอบพิจารณาด้วย

สถานะของความตกลงฯ (ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2553) มีภาคีทั้งหมด 47 ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ 2 แห่ง โดยเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งความตกลงฯ ยังไม่มีผลบังคับ เนื่องจากยังไม่มีภาคีใดยื่นสัตยาบันสารหนังสือตอบรับหนังสือให้ความเห็นชอบความตกลงฯ ซึ่งคณะผู้แทนถาวรออสเตรียประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค แจ้งสถานะล่าสุดของความตกลงฯ (ณ วันที่ 14 มกราคม 2554) ว่า ขณะนี้มีรัฐและองค์การระหว่างประเทศที่ยื่นสัตยาบันสาร (instrument of ratification) สารให้การยอมรับ (instrument of acceptance) สารให้ความเห็นชอบ (instrument of approval) หรือภาคยานุวัติสารครบจำนวน 3 ฉบับแล้ว ได้แก่สาธารณรัฐออสเตรีย องค์การกฎหมายมหาชนแห่งยุโรป (European Public law Organization) และศูนย์ระหว่างประเทศสำหรับการพัฒนานโยบาย การย้ายถิ่น (International Center Migration Policy Development-ICMPD) ซึ่งจะเป็นผลให้ความตกลงฯ มีผลให้บังคับใช้ในวันที่ 8 มีนาคม 5224

การที่ประเทศไทยจะลงนามในความตกลงฯ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก เนื่องจากการจัดตั้ง องค์การระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการต่อต้านการทุจริตโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รับผิดชอบงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการยกระดับมาตรฐานด้านการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย นอกจากนี้ การลงนามในความตกลงฯ จะแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการต่อต้านการทุจริต และประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการฝึกอบรมและวิจัยในด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศต่างๆ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศ

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 4 เมษายน 2554--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ