คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
รง. รายงานว่า
1. ความเป็นมา
ตามที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 182 ว่าด้วยการห้ามและการดำเนินการโดยทันทีเพื่อขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นผลให้ประเทศไทยมีพันธะสัญญาที่จะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าว และต้องดำเนินการโดยทันทีเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย ตามมาตรา 6 กำหนดให้สมาชิกแต่ละประเทศต้องกำหนดและปฏิบัติตามแผนงานดำเนินการเพื่อขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็กโดยถือเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วน ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศได้กำหนดเป้าหมายโลก (Global Target) ให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกดำเนินการเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายเสร็จสมบูรณ์ในปี 2559
2. การดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ของคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย
เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายด้านแรงงานของประเทศไทยและบทบัญญัติของอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 182 คณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว ได้จัดทำร่างรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 และคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายมีมติเห็นชอบรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
การใช้แรงงานเด็กของประเทศไทยในอดีตส่วนใหญ่เป็นการใช้แรงงานในครัวเรือนเพื่อช่วยพ่อแม่ทำงานเกษตรหรืองานบ้าน ต่อมาเมื่อมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมเป็นผลให้เด็กเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น แต่ในปัจจุบันการใช้แรงงานเด็กในภาคอุตสาหกรรมของไทยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 ที่ขยายระยะเวลาการศึกษาภาคบังคับ จาก 6 ปี เป็น 9 ปี จึงจะช่วยชะลอการเข้าสู่ตลาดแรงงานของเด็กไทย ดังนั้น การใช้แรงงานเด็กของไทยจึงเป็นเพียงการทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและพ่อแม่ ผู้ปกครอง ซึ่งเป็นความจำเป็นและเป็นวิถีชีวิตของสังคมไทย และพบว่าปัญหาแรงงานเด็กในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นปัญหาของแรงงานเด็กต่างด้าว ซึ่งจำแนกตามลักษณะของแรงงานเด็กต่างด้าว ได้ดังนี้
2.1 เด็กต่างด้าวที่จำเป็นต้องติดตามพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าไปในที่ทำงานโดยเหตุที่ไม่มีผู้ดูแล บางครั้งเด็กเหล่านี้ก็ช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งกรณีนี้เป็นที่มาของการถูกกล่าวหาว่าประเทศไทยมีการใช้แรงงานเด็ก
2.2 เด็กต่างด้าวที่เกิดและเติบโตในประเทศไทย และมักจะติดตามพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าไปในสถานที่ทำงาน ทำให้เด็กไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการสังคมและกิจกรรมที่จำเป็น เช่น การเข้าสู่ระบบการศึกษา ส่งผลให้เด็กเข้าสู่กระบวนการทำงานก่อนวัยอันควรโดยไม่ตั้งใจ
2.3 เด็กต่างด้าวที่สมัครใจเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย บางครั้งอาจถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น ได้รับค่าจ้างต่ำกว่ากฎหมายกำหนด ทำงานโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งแรงงานเด็กเหล่านี้ยินยอมที่จะถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุผลจากการที่ตนเองหลบหนีเข้าเมืองเกรงว่าหากดำเนินการใด ๆ แล้วอาจจะต้องถูกส่งตัวกลับ ประกอบกับแรงงานเด็กเหล่านี้หลบซ่อนทำงานในสถานประกอบกิจการขนาดเล็ก ยากต่อการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ
3. การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ตามภารกิจของ รง.
3.1 รง. ได้นำนโยบายของรัฐบาลด้านแรงงานคือ การให้ความคุ้มครองแรงงานตามกฎหมาย โดยให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยในการทำงานและสวัสดิการและดูแลหลักประกันความมั่นคงในการทำงานแก่ผู้ใช้แรงงาน มากำหนดเป็นนโยบาย การดำเนินงานโดยไม่เลือกปฏิบัติคือ การให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานหญิงและเด็กให้ได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดีขึ้น
3.2 รง. โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ทำหน้าที่ในการสนับสนุนงานของคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายรวมทั้งมีการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย เช่น
3.2.1 การตรวจแรงงาน ให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจสถานประกอบกิจการที่มีการจ้างแรงงาน (คนไทย ต่างด้าว หญิงและเด็ก) เพื่อกำกับดูแลนายจ้างและลูกจ้างให้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ได้กำหนดทิศทางและเป้าหมายการตรวจแรงงานกลุ่มเสี่ยงในการใช้แรงงานบังคับหรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เน้นตรวจการใช้แรงงานเด็ก การบังคับใช้แรงงาน แรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทกิจการที่ถูกกล่าวหาจากประเทศสหรัฐอเมริกาว่ามีการค้ามนุษย์ เช่น ประมงทะเล โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า กิจการต่อเนื่องกับประมงทะเล เลี้ยงกุ้ง งานเกษตรกรรม (อ้อย) ทั้งนี้ ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและดำเนินคดีโดยทันทีหากพบว่ากระทำผิด
3.2.2 การจัดตั้งศูนย์และแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโดยมีอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รง. เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานกำกับดูแลการจัดทำแผนงานด้านการป้องกัน ปราบปรามการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแรงงานที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ติดตามผลการปฏิบัติงานและประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
3.2.3 การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจในจังหวัดที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก ได้แก่ จังหวัดตาก ระนอง และสมุทรสาคร บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แก่แรงงานต่างด้าวและดำเนินการให้แรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย
3.2.4 การจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจในการดำเนินการป้องกันและช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อร่วมดำเนินการปราบปรามและช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์กับทีมสหวิชาชีพ ในส่วนกลาง 4 ทีม ๆ ละ 5 คน
3.2.5 การสร้างเครือข่ายด้านคุ้มครองแรงงาน จำนวน 37,815 คน ได้แก่ ที่ปรึกษาแรงงานหญิง อาสาสมัครแรงงาน สมาชิกและเจ้าหน้าที่องค์กรบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมาชิกสภาเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อช่วยแจ้งเบาะแสการจ้างงานโดยไม่เป็นธรรมหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
3.2.6 การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบ ติดตาม หรือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีการกระทำอย่างผิดกฎหมายต่อแรงงานต่างด้าว เช่น ให้ความร่วมมือกับสถานทูตของประเทศสหรัฐอเมริกาในการตรวจสอบสถานประกอบกิจการ รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินการตามข้อร้องเรียน ข้อหารือหรือข้อเสนอแนะต่อองค์กร/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน องค์กรแรงงานสภาอุตสาหกรรม เป็นต้น
3.2.7 การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่น เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยการจัดทำคู่มือ แผ่นพับ สื่อประชาสัมพันธ์ ประเภทนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ และวิทยุ เป็นภาษาไทยและต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ พม่า ลาว และกัมพูชา)
3.2.8 การจัดประชุมและอบรมให้ความรู้ด้านคุ้มครองแรงงานแก่นายจ้างและลูกจ้าง เครือข่ายด้านการคุ้มครองแรงงานให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน เป็นต้น เพื่อเฝ้าติดตามและแจ้งเหตุการใช้แรงงานผิดกฎหมายตลอดจนขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก
3.2.9 การดำเนินการเพื่อให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแรงงานต่างด้าวมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้ดำเนินการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายเช่นเดียวกับแรงงานไทย
3.2.10 การดำเนินคดีกับนายจ้างที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ตามระเบียบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาและการเปรียบเทียบผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2547
นอกจากนี้มีการดำเนินการตามโครงการกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายซึ่งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ตามนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย
4. ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน
หลังจากที่ประเทศไทยมีนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย เพื่อให้หน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแผนแม่บทในการดำเนินการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย พบว่ามีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติฯ ดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
4.1. การกำหนดนิยามของคำว่า “แรงงานเด็ก” ระหว่างกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ มีความแตกต่างกัน และไม่มีการจำแนกให้เห็นชัดเจนว่าแรงงานเด็กกระทำผิดด้วยตนเองหรือเด็กตกเป็นเหยื่อ
4.2 การจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งบางหน่วยงานต้องปฏิบัติตามแผนแม่บทหลายแผน แต่แผนแม่บทต่างๆ รวมทั้งนโยบายและแผนระดับชาติฯ ไม่มีการจัดสรรงบประมาณให้ จึงทำให้การปฏิบัติตามนโยบายและแผนระดับชาติฯ ดังกล่าว เป็นไปได้ลำบาก
4.3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมียุทธศาสตร์แตกต่างกัน ทำให้ยากต่อการปฏิบัติและการบูรณาการ การดำเนินงานตามนโยบายและแผนระดับชาติฯ ยังขาดความชัดเจนในแนวปฏิบัติ
4.4 นโยบายและแผนระดับชาติฯ ไม่มีสภาพบังคับ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถนำไปกำหนดแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติฯ
4.5 การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ทั้ง 4 รูปแบบ ยากต่อการค้นหาและไม่มีฐานข้อมูล ส่งผลให้หน่วยงานและภาคีที่เกี่ยวข้องมีข้อจำกัดในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง
4.6 ภารกิจการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายมีความทับซ้อนและมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก กล่าวคือ ภารกิจในการดูแลแรงงานเด็กในมิติของการใช้แรงงาน การค้ามนุษย์และสิทธิเด็ก ในทางปฏิบัติอาจเกิดกรณีการทำงานซ้ำซ้อนกัน และการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ค่อนข้างยาก เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีงบประมาณ แผนงาน ระเบียบปฏิบัติและกฎหมายของตนเอง
4.7 นโยบายและแผนระดับชาติฯ ขาดการประชาสัมพันธ์ ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ รับรู้เรื่องแผนและรายละเอียดของแผนในระดับที่ไม่สามารถนำไปบูรณาการกับภารกิจของหน่วยงานได้
5. ข้อเสนอแนะ แนวทางแก้ไขที่มีต่อนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 — 2557 มีดังนี้
5.1 ควรจัดทำนโยบายและแผนระดับชาติฯ เป็นสองระดับประกอบด้วยการใช้แรงงานเด็กทั่วไปที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กับการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมาย
5.2 รัฐควรทำนโยบายและแผนระดับชาติฯ ในเรื่องขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้สังคมรับรู้และมีส่วนร่วมการจัดการกับปัญหา และให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำ MOU ระหว่างกัน
5.3 ควรให้มีการจัดสรรงบประมาณตามนโยบายและแผนระดับชาติฯ ในแต่ละมาตรการทั้งในส่วนกลางและระดับท้องถิ่น เพื่อการดำเนินการทั้งในส่วนกลาง ระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นมีประสิทธิภาพและครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
5.4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการการดำเนินงาน โดยจัดประชุมวางแผนร่วมกัน โดยเฉพาะการกำหนดหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักและเจ้าภาพร่วมในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้การแบ่งและการประสานภารกิจการทำงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5.5 ควรประสานและทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บ จำแนกข้อมูลให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรมอบหมายหน่วยงานหลักในการจัดทำข้อมูล ให้มีการรวบรวมข้อมูลแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายโดยเฉพาะ
5.6 จัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายของประเทศไทย ซึ่งควรจะเป็นฐานข้อมูลทั้งระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการนำไปกำหนดนโยบายและแผนการปฏิบัติงานระดับหน่วยงาน
5.7 ควรจัดประชุมและส่งเสริมความรู้เรื่องนโยบายและแผนระดับชาติฯ และการดำเนินงานที่ชัดเจนให้กับผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน รวมทั้งประชาสัมพันธ์การดำเนินงานป้องกันการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่เข้าใจง่ายและเป็นรูปธรรม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 กรกฎาคม 2555--จบ--