คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแล้วมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยให้นำความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลพ) เป็นประธาน ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับมอบหมายให้ดำเนินการยกร่างตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2545 แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
2. สำหรับร่างพระราชบัญญัติกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ พ.ศ. .... ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับไปทบทวนอีกครั้งหนึ่งตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธาน ทั้งนี้ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ภาพยนตร์” “บทภาพยนตร์” “การสร้าง” “การนำออกฉาย” “การพากย์” “โรงภาพยนตร์” และ “การโฆษณา” เป็นต้น
2. กำหนดให้กรณีดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในบังคับของร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ ฯ เช่น ภาพยนตร์ข่าว ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นดูเฉพาะส่วนบุคคล ภาพยนตร์ที่หน่วยงานของรัฐสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ และภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นและมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายและแผนภาพยนตร์แห่งชาติ “กภช.” ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฯ รองประธาน 2 คน กรรมการโดยตำแหน่ง 13 คน กรรมการผู้แทนกิจการด้านภาพยนตร์ 13 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 13 คน
4. กำหนดให้ กภช. มีอำนาจหน้าที่เสนอนโยบาย แผน และยุทธศาสตร์ต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประกอบกิจการภาพยนตร์ในด้านเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม ท่องเที่ยว ประชาสัมพันธ์ รวมทั้งเอกลักษณ์แห่งชาติ แต่งตั้งและถอดถอนคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ พิจารณาการอุทธรณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์จัดระดับและประเภทภาพยนตร์
5. กำหนดคุณสมบัติ การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การนัดประชุม องค์ประชุม และการวินิจฉัยชี้ขาด
6. กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิ คณะละไม่น้อยกว่า 3 คน และไม่เกิน 9 คน จำนวนคณะ การสรรหาประธาน สัดส่วน การพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขตามรัฐมนตรีกำหนด
7. กำหนดให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์
8. กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ เช่น การอนุญาต การสร้างภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ต่างประเทศ การนำภาพยนตร์ออกฉายทั้งในและต่างประเทศ การสั่งให้แก้ไขตัดทอนเนื้อหา และประกาศห้ามการนำออกฉายภาพยนตร์บางเรื่อง เป็นต้น
9. กำหนดให้การสร้าง การนำออกฉาย หรือการส่งออก รวมทั้งการจัดให้บริการของภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์ต่างประเทศ ไม่ว่าจะกระทำในประเทศหรือต่างประเทศ ต้องขออนุญาต ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในกฎกระทรวง
10. กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตตามมาตรา 21 และมาตรา 22 ต้องส่งมอบภาพยนตร์ให้คณะกรรมการภาพยนตร์พิจารณา ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน เมื่อ กภช. จัดประเภทภาพยนตร์ตามมาตรา 9(6) แล้ว ภาพยนตร์บางประเภท อาจไม่ต้องส่งให้คณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์พิจารณา ทั้งนี้ ตามหลักเกณพ์ วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
11. กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดนำสื่อโฆษณาภาพยนตร์ออกใช้โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต หรืออยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 23 วรรคท้ายการขอรับอนุญาต การอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการในกฎกระทรวง
12. กำหนดการอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ต่อ กภช. ภายใน 15 วัน นับแต่รับแจ้งคำสั่ง และ กภช. ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จภายใน 30 วัน คำวินิจฉัยของ กภช. ให้เป็นที่สุด
13. กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดนำออกฉายภาพยนตร์เพื่อธุรกิจการค้า เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ในกรณี โรงภาพยนตร์ สถานที่ให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จังหวัดอื่นให้ยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด การขออนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในกฎกระทรวง มาตรฐานโรงภาพยนตร์ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
14. กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะขออนุญาต และการต่อใบอนุญาต คำสั่งไม่ออกใบอนุญาตหรือไม่ต่อใบอนุญาตให้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายใน 30 วัน คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
15. กำหนดให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งการให้หยุดการดำเนินการออกฉายภาพยนตร์ชั่วคราว หรือ สั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงและสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งนายทะเบียนต่อรัฐมนตรี
16. กำหนดการส่งเสริมและพัฒนาภาพยนตร์ โดยให้มี “ศูนย์ภาพยนตร์แห่งชาติ” ในกระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่ศึกษาค้นคว้า วิจัย อนุรักษ์ ให้บริการด้านวิชาการภาพยนตร์โดยอาจตั้งในรูปแบบองค์การมหาชน
17. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมและตรวจสอบโดยเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ของผู้สร้างภาพยนตร์ เพื่อตรวจสอบภาพยนตร์โดยวิธีการตรวจ ค้น กัก ยึด หรืออายัดภาพยนตร์ หรือสั่งให้หยุด การนำออกฉายหากมีการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
18. กำหนดให้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา อัตราค่าตอบแทนและรางวัลให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
19. กำหนดให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนเสียหายเนื่องมาแต่การนำออกฉายหรือการจัดให้บริการซึ่งภาพยนตร์มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์โดยทำเป็นหนังสือ โดยระหว่างการพิจารณาผู้ร้องอาจขอให้ผู้นำออกฉายหรือผู้จัดให้บริการเยียวยาความเสียหายเป็นการชั่วคราวได้
20. กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ พิจารณาเรื่องร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยต้องให้คู่กรณีชี้แจง ข้อเท็จจริงและแสดงพยานหลักฐานของตน หากคณะกรรมการเห็นว่า ผู้นำออกฉายกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายให้สั่งให้บุคคลดังกล่าวแก้ไขภายในเวลาที่กำหนด
21. กำหนดให้ผู้เข้าชมหรือผู้รับบริการเห็นว่า การเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการไม่ถูกต้องให้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
22. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจออกข้อบัญญัติหรือเทศบัญญัติหรือข้อกำหนดอื่นใด เพื่อการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยห้ามนำออกฉายหรือจัดให้บริการภาพยนตร์ ในเขตพื้นที่หรือบางส่วนในเขตพื้นที่ก็ได้
23. กำหนดการบังคับทางปกครอง
24. บทกำหนดโทษ
25. กำหนดบทเฉพาะกาล
ร่างพระราชบัญญัติกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ภาพยนตร์” “กองทุน” “คณะกรรมการ” “ผู้จัดการ” และ “รัฐมนตรี”
2. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้นเรียกว่า “กองทุนส่งเสริมภาพยนตร์” เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน ฯลฯ โดย ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ รายได้ของกองทุนไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน ให้รัฐมนตรีจัดตั้งงบประมาณเพื่อสมทบทุนเป็นรายปีตามความจำเป็น
3. กำหนดให้กองทุนประกอบด้วย เงินและทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ เช่น เงินบำรุงกองทุนที่เรียกเก็บ เงินอุดหนุนจากรัฐบาล เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เงินอุดหนุนจากภาคเอกชน เงินค่าธรรมเนียม ค่าบริการ รายได้จากการดำเนินงานและดอกผลของรายได้
4. กำหนดให้กิจการของกองทุนไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แรงงานสัมพันธ์ ประกันสังคม และเงินทดแทน ทั้งนี้ ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของกองทุน ต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด
5. กำหนดให้กองทุนมีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ภายในเขตวัตถุประสงค์ รวมทั้งถือกรรมสิทธิ สิทธิครอบครอง กระทำนิติกรรม และหาผลประโยช์จากทรัพย์สินของกองทุน
6. กำหนดให้กองทุนมีอำนาจเรียกเก็บเงินบำรุงจากผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์ ในอัตราร้อยละ 10 ของกองทุน
7. กำหนดให้ค่าธรรมเนียมและภาษีอากรตามมาตรา 9 ไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
8. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมแจ้งรายการให้กองทุนทราบ หากแจ้งรายการภายหลังจะมีผลต่อการพิจารณาให้กู้ยืม อุดหนุน การสร้างภาพยนตร์ตามกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์
9. กำหนดให้กองทุนมีอำนาจจัดสรรเงินกองทุนดังนี้ เช่น จัดสรรให้กระทรวงวัฒนธรรมในการบริหารจัดการภาพยนตร์ค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมตามมาตรา 5 และมาตรา 8 ให้กู้ยืม อุดหนุน สมทบ และร่วมทุนสร้างภาพยนตร์ เงินกองทุนอาจนำไปหาดอกผลโดยนำฝากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงินหรือที่คณะกรรมการกำหนด
10. กำหนดให้มี “คณะกรรมการกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์” มีรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่ควบคุมดูแลกองทุนให้ดำเนินกิจการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในมาตรา 5 รวมถึง กำหนดนโยบายการบริหาร กำหนดวงเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการ และจัดสรรสนับสนุนการบริหารจัดการภาพยนตร์ ควบคุมดูแลการดำเนินงาน ตลอดจนออกระเบียบหรือข้อบังคับของกองทุน ในการแบ่งส่วนงานภายในสำนักกำหนดตำแหน่งอัตราเงินเดือนค่าจ้าง ของเจ้าหน้าที่กองทุน จัดการการเงิน การพัสดุ ทรัพย์สินของกองทุน จัดสวัสดิการสิทธิประโยชนแก่เจ้าหน้าที่ของกองทุน
11. กำหนดให้กองทุนมีผู้จัดการคนหนึ่ง มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี มีหน้าที่บริหารกิจการกองทุน ควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และลูกจ้างกองทุน
12. กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ กำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้จัดการ
13. กำหนดให้ผู้จัดการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้กู้ยืม อุดหนุน และดำเนินการสร้างและจัดให้บริการภาพยนตร์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
14. กำหนดให้กรณีผู้จัดการให้กู้ยืม อุดหนุน และดำเนินการจัดการกองทุนในลักษณะที่อาจเป็นเหตุให้เสียหาย คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้จัดการชี้แจง หรือระงับการกระทำนั้น ภายในระยะเวลากำหนด หรืออาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้
15. กำหนดให้การกู้ยืมเงินเพื่อสร้างภาพยนตร์ หรือจัดให้บริการภาพยนตร์ตามคำขอที่คณะกรรมการกำหนด สัญญากู้ยืมเงินอาจทำเป็นรายปีหรือระยะเวลาที่สั้นหรือยาวตามที่คณะกรมการกำหนด
16. กำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน จำนวน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรี โดยการเสนอแนะของรัฐมนตรี
17. กำหนดให้คณะกรรมการประเมินผลมีอำนาจหน้าที่ประเมินผลด้านนโยบายและการกำหนดกิจกรรมของกองทุน ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน รายงานผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งมีอำนาจเรียกเอกสารหลักฐาน และบุคคลชี้แจงข้อเท็จจริงได้
18. กำหนดบทเฉพาะกาลให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน งบประมาณ ของส่วนราชการในกระทรวงวัฒนธรรม หรือส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ไปเป็นของกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ตามมติคณะรัฐมนตรี และให้ผู้อำนวยการสำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 21 ธันวาคม 2547--จบ--
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยให้นำความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลพ) เป็นประธาน ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับมอบหมายให้ดำเนินการยกร่างตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2545 แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
2. สำหรับร่างพระราชบัญญัติกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ พ.ศ. .... ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับไปทบทวนอีกครั้งหนึ่งตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธาน ทั้งนี้ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ภาพยนตร์” “บทภาพยนตร์” “การสร้าง” “การนำออกฉาย” “การพากย์” “โรงภาพยนตร์” และ “การโฆษณา” เป็นต้น
2. กำหนดให้กรณีดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในบังคับของร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ ฯ เช่น ภาพยนตร์ข่าว ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นดูเฉพาะส่วนบุคคล ภาพยนตร์ที่หน่วยงานของรัฐสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ และภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นและมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายและแผนภาพยนตร์แห่งชาติ “กภช.” ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฯ รองประธาน 2 คน กรรมการโดยตำแหน่ง 13 คน กรรมการผู้แทนกิจการด้านภาพยนตร์ 13 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 13 คน
4. กำหนดให้ กภช. มีอำนาจหน้าที่เสนอนโยบาย แผน และยุทธศาสตร์ต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประกอบกิจการภาพยนตร์ในด้านเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม ท่องเที่ยว ประชาสัมพันธ์ รวมทั้งเอกลักษณ์แห่งชาติ แต่งตั้งและถอดถอนคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ พิจารณาการอุทธรณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์จัดระดับและประเภทภาพยนตร์
5. กำหนดคุณสมบัติ การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การนัดประชุม องค์ประชุม และการวินิจฉัยชี้ขาด
6. กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิ คณะละไม่น้อยกว่า 3 คน และไม่เกิน 9 คน จำนวนคณะ การสรรหาประธาน สัดส่วน การพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขตามรัฐมนตรีกำหนด
7. กำหนดให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์
8. กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ เช่น การอนุญาต การสร้างภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ต่างประเทศ การนำภาพยนตร์ออกฉายทั้งในและต่างประเทศ การสั่งให้แก้ไขตัดทอนเนื้อหา และประกาศห้ามการนำออกฉายภาพยนตร์บางเรื่อง เป็นต้น
9. กำหนดให้การสร้าง การนำออกฉาย หรือการส่งออก รวมทั้งการจัดให้บริการของภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์ต่างประเทศ ไม่ว่าจะกระทำในประเทศหรือต่างประเทศ ต้องขออนุญาต ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในกฎกระทรวง
10. กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตตามมาตรา 21 และมาตรา 22 ต้องส่งมอบภาพยนตร์ให้คณะกรรมการภาพยนตร์พิจารณา ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน เมื่อ กภช. จัดประเภทภาพยนตร์ตามมาตรา 9(6) แล้ว ภาพยนตร์บางประเภท อาจไม่ต้องส่งให้คณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์พิจารณา ทั้งนี้ ตามหลักเกณพ์ วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
11. กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดนำสื่อโฆษณาภาพยนตร์ออกใช้โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต หรืออยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 23 วรรคท้ายการขอรับอนุญาต การอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการในกฎกระทรวง
12. กำหนดการอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ต่อ กภช. ภายใน 15 วัน นับแต่รับแจ้งคำสั่ง และ กภช. ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จภายใน 30 วัน คำวินิจฉัยของ กภช. ให้เป็นที่สุด
13. กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดนำออกฉายภาพยนตร์เพื่อธุรกิจการค้า เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ในกรณี โรงภาพยนตร์ สถานที่ให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จังหวัดอื่นให้ยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด การขออนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในกฎกระทรวง มาตรฐานโรงภาพยนตร์ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
14. กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะขออนุญาต และการต่อใบอนุญาต คำสั่งไม่ออกใบอนุญาตหรือไม่ต่อใบอนุญาตให้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายใน 30 วัน คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
15. กำหนดให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งการให้หยุดการดำเนินการออกฉายภาพยนตร์ชั่วคราว หรือ สั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงและสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งนายทะเบียนต่อรัฐมนตรี
16. กำหนดการส่งเสริมและพัฒนาภาพยนตร์ โดยให้มี “ศูนย์ภาพยนตร์แห่งชาติ” ในกระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่ศึกษาค้นคว้า วิจัย อนุรักษ์ ให้บริการด้านวิชาการภาพยนตร์โดยอาจตั้งในรูปแบบองค์การมหาชน
17. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมและตรวจสอบโดยเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ของผู้สร้างภาพยนตร์ เพื่อตรวจสอบภาพยนตร์โดยวิธีการตรวจ ค้น กัก ยึด หรืออายัดภาพยนตร์ หรือสั่งให้หยุด การนำออกฉายหากมีการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
18. กำหนดให้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา อัตราค่าตอบแทนและรางวัลให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
19. กำหนดให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนเสียหายเนื่องมาแต่การนำออกฉายหรือการจัดให้บริการซึ่งภาพยนตร์มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์โดยทำเป็นหนังสือ โดยระหว่างการพิจารณาผู้ร้องอาจขอให้ผู้นำออกฉายหรือผู้จัดให้บริการเยียวยาความเสียหายเป็นการชั่วคราวได้
20. กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ พิจารณาเรื่องร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยต้องให้คู่กรณีชี้แจง ข้อเท็จจริงและแสดงพยานหลักฐานของตน หากคณะกรรมการเห็นว่า ผู้นำออกฉายกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายให้สั่งให้บุคคลดังกล่าวแก้ไขภายในเวลาที่กำหนด
21. กำหนดให้ผู้เข้าชมหรือผู้รับบริการเห็นว่า การเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการไม่ถูกต้องให้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
22. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจออกข้อบัญญัติหรือเทศบัญญัติหรือข้อกำหนดอื่นใด เพื่อการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยห้ามนำออกฉายหรือจัดให้บริการภาพยนตร์ ในเขตพื้นที่หรือบางส่วนในเขตพื้นที่ก็ได้
23. กำหนดการบังคับทางปกครอง
24. บทกำหนดโทษ
25. กำหนดบทเฉพาะกาล
ร่างพระราชบัญญัติกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ภาพยนตร์” “กองทุน” “คณะกรรมการ” “ผู้จัดการ” และ “รัฐมนตรี”
2. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้นเรียกว่า “กองทุนส่งเสริมภาพยนตร์” เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน ฯลฯ โดย ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ รายได้ของกองทุนไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน ให้รัฐมนตรีจัดตั้งงบประมาณเพื่อสมทบทุนเป็นรายปีตามความจำเป็น
3. กำหนดให้กองทุนประกอบด้วย เงินและทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ เช่น เงินบำรุงกองทุนที่เรียกเก็บ เงินอุดหนุนจากรัฐบาล เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เงินอุดหนุนจากภาคเอกชน เงินค่าธรรมเนียม ค่าบริการ รายได้จากการดำเนินงานและดอกผลของรายได้
4. กำหนดให้กิจการของกองทุนไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แรงงานสัมพันธ์ ประกันสังคม และเงินทดแทน ทั้งนี้ ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของกองทุน ต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด
5. กำหนดให้กองทุนมีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ภายในเขตวัตถุประสงค์ รวมทั้งถือกรรมสิทธิ สิทธิครอบครอง กระทำนิติกรรม และหาผลประโยช์จากทรัพย์สินของกองทุน
6. กำหนดให้กองทุนมีอำนาจเรียกเก็บเงินบำรุงจากผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์ ในอัตราร้อยละ 10 ของกองทุน
7. กำหนดให้ค่าธรรมเนียมและภาษีอากรตามมาตรา 9 ไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
8. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมแจ้งรายการให้กองทุนทราบ หากแจ้งรายการภายหลังจะมีผลต่อการพิจารณาให้กู้ยืม อุดหนุน การสร้างภาพยนตร์ตามกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์
9. กำหนดให้กองทุนมีอำนาจจัดสรรเงินกองทุนดังนี้ เช่น จัดสรรให้กระทรวงวัฒนธรรมในการบริหารจัดการภาพยนตร์ค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมตามมาตรา 5 และมาตรา 8 ให้กู้ยืม อุดหนุน สมทบ และร่วมทุนสร้างภาพยนตร์ เงินกองทุนอาจนำไปหาดอกผลโดยนำฝากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงินหรือที่คณะกรรมการกำหนด
10. กำหนดให้มี “คณะกรรมการกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์” มีรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่ควบคุมดูแลกองทุนให้ดำเนินกิจการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในมาตรา 5 รวมถึง กำหนดนโยบายการบริหาร กำหนดวงเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการ และจัดสรรสนับสนุนการบริหารจัดการภาพยนตร์ ควบคุมดูแลการดำเนินงาน ตลอดจนออกระเบียบหรือข้อบังคับของกองทุน ในการแบ่งส่วนงานภายในสำนักกำหนดตำแหน่งอัตราเงินเดือนค่าจ้าง ของเจ้าหน้าที่กองทุน จัดการการเงิน การพัสดุ ทรัพย์สินของกองทุน จัดสวัสดิการสิทธิประโยชนแก่เจ้าหน้าที่ของกองทุน
11. กำหนดให้กองทุนมีผู้จัดการคนหนึ่ง มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี มีหน้าที่บริหารกิจการกองทุน ควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และลูกจ้างกองทุน
12. กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ กำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้จัดการ
13. กำหนดให้ผู้จัดการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้กู้ยืม อุดหนุน และดำเนินการสร้างและจัดให้บริการภาพยนตร์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
14. กำหนดให้กรณีผู้จัดการให้กู้ยืม อุดหนุน และดำเนินการจัดการกองทุนในลักษณะที่อาจเป็นเหตุให้เสียหาย คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้จัดการชี้แจง หรือระงับการกระทำนั้น ภายในระยะเวลากำหนด หรืออาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้
15. กำหนดให้การกู้ยืมเงินเพื่อสร้างภาพยนตร์ หรือจัดให้บริการภาพยนตร์ตามคำขอที่คณะกรรมการกำหนด สัญญากู้ยืมเงินอาจทำเป็นรายปีหรือระยะเวลาที่สั้นหรือยาวตามที่คณะกรมการกำหนด
16. กำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน จำนวน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรี โดยการเสนอแนะของรัฐมนตรี
17. กำหนดให้คณะกรรมการประเมินผลมีอำนาจหน้าที่ประเมินผลด้านนโยบายและการกำหนดกิจกรรมของกองทุน ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน รายงานผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งมีอำนาจเรียกเอกสารหลักฐาน และบุคคลชี้แจงข้อเท็จจริงได้
18. กำหนดบทเฉพาะกาลให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน งบประมาณ ของส่วนราชการในกระทรวงวัฒนธรรม หรือส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ไปเป็นของกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ตามมติคณะรัฐมนตรี และให้ผู้อำนวยการสำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 21 ธันวาคม 2547--จบ--