การขอนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มาใช้ในการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 1, 2013 11:13 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ การนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 400 ล้านบาท มาใช้ในการดำเนินโครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) วงเงิน 300 ล้านบาท และโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วงเงิน 100 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2557 — 2558 ปีละ 50 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ครั้งที่ 1/2556 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ตามที่กระทรวงพานิชย์ (พณ.) เสนอ

สาระสำคัญของเรื่อง

พณ. รายงานว่า

ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ครั้งที่ 1/2556 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ประชุมซึ่งมีผู้แทนภาคเอกชน 3 ฝ่าย ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ร่วมเป็นกรรมการด้วย มีมติเห็นชอบให้มีการขอนำเงินต้นกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วงเงิน 400 ล้านบาท มาใช้เพื่อดำเนินการ 2 โครงการ ดังนี้

1. โครงการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ประกอบการส่งออกขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro—active) เป็นโครงการต่อเนื่องระยะเวลา 3 ปี (2556 — 2558 ) วงเงิน 300 ล้านบาท โดยขอถัวจ่ายเพื่อดำเนินโครงการเป็นระยะเวลา 3 ปี เป็นมาตรการหนึ่งในการขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ผู้ประกอบการส่งออกขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีการพัฒนาทั้งสินค้า/บริการให้มีคุณภาพ มาตรฐาน นวัตกรรม และสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างมั่นคงไม่ต่ำกว่าปีละ 500 ราย โดยสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า [เป็นงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อการซื้อและการขาย ( Business to Business ) ไม่ใช่งานขายปลีกและเป็นงานที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไม่ได้ดำเนินโครงการเอง] และร่วมกิจกรรมลักษณะอื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประสบการณ์ในการเข้าตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพและรักษาตลาดได้ยั่งยืน

2. โครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดสรรไว้สำหรับดำเนินโครงการของภาครัฐและเอกชน วงเงิน 100 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2557 — 2558 ปีละ 50 ล้านบาท

พณ . มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมทั้งพัฒนาตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจโลก และปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก เช่น ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและการกีดกันทางการค้าในรูปแบบใหม่ ๆ เป็นต้น ในขณะที่มีการเปิดเสรีอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องในทุกภูมิภาคของโลกได้ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดการค้าโลกที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น และอีกสองปีข้างหน้าคือปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ จะรวมตัวกันในระดับที่สูงขึ้นสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งจะสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งสร้างผลกระทบต่อตลาดภายในของไทยด้วย การเปลี่ยนแปลงสำคัญดังกล่าวนี้ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และส่งเสริมประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทย ประกอบกับรัฐบาลได้มีนโยบายมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน เร่งให้เศรษฐกิจขยายตัวเต็มที่ตามศักยภาพ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคการลงทุนและการผลิต และนโยบายที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือ เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs/OTOP

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 31 มีนาคม 2556--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ