ทำเนียบรัฐบาล--28 ก.ย.--บิสนิวส์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานข้อมูลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสถาบันการเงิน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2542 มาตรฐานและวิธีการปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ด้อยคุณภาพ และความคืบหน้าของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2542 สรุปได้ดังนี้
NPL ของสถาบันการเงิน
1. ภาพรวมยอดคงค้าง NPL เดือนกรกฎาคม 2542
ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2542 ระบบสถาบันการเงินมี NPL คงค้างรวม 2,645.3 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.10ของสินเชื่อรวม
NPL ลดลง 9.6 พันล้านบาทในเดือนกรกฎาคม นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง โดยในเดือนมิถุนายนลดลงมากถึง 75.4 พันล้านบาท จากการที่สถาบันการเงินได้ตัดจำหน่ายหนี้สูญและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นจำนวนมาก ในเดือนกรกฎาคม NPL ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งธนาคารเอกชน และธนาคารรัฐมียอดคงค้างลดลง ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศและบริษัทเงินทุนยังมียอดคงค้าง NPL ที่สูงขึ้น
ธนาคารพาณิชย์เอกชนมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 1,215.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.86 ของยอดสินเชื่อรวมลดลง 7.6 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนมิถุนายน โดยลดลงมากในภาคอุตสาหกรรมและการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ส่วนธุรกิจนำสินค้าเข้า และการส่งสินค้าออกยังคงมี NPL เพิ่มขึ้น
ธนาคารพาณิชย์รัฐมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 1,170.5 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69.69 ของยอดสินเชื่อรวม ลดลง 7.0 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยลดลงมากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการค้าส่งและการค้าปลีก สำหรับภาคอุตสาหกรรมยังมี NPL เพิ่มขึ้นมาก
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 89.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5 พันล้านบาทจากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยมี NPL เพิ่มขึ้นเกือบทุกภาคธุรกิจยกเว้นเพียงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มี NPL ลดลง
บริษัทเงินทุนมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 169.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5 พันล้านบาท จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมี NPL สูงขึ้น
2. มาตรฐานและวิธีการปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ด้อยคุณภาพ ที่สำคัญดังนี้
ก) ลูกหนี้จัดชั้น (ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้)
1. การพิจารณาจัดชั้น พิจารณาทุกสัญญาของลูกหนี้แต่ละราย โดยจัดชั้นคุณภาพต่ำสุดเพียงชั้นเดียว และการพิจารณาตามคุณภาพของลูกหนี้ ประกอบกับการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเกินระยะเวลาที่กำหนด
2. กรณียกเว้นที่สามารถจัดชั้นปกติได้ มีดังนี้
2.1 การปรับปรุงโครงสร้างหนี้
1) กรณีเข้าเงื่อนไข 5 ข้อ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถเปลี่ยนการจัดชั้นเป็นปกติได้ทันที (ตามประกาศเรื่องสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542)
2) กรณีรอผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขใหม่ 3 เดือนหรือ 3 งวดการชำระเงิน แล้วแต่อย่างใดจะนานกว่าเมื่อสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้นได้ จึงเปลี่ยนชั้นเป็นปกติได้
2.2 โครงการที่แยกการใช้เงินได้อย่างชัดเจนและมีความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน
2.3 หนี้ที่เข้าข่ายการจัดชั้นปกติมากกว่าร้อยละ 90 ของหนี้รวม สามารถแยกจัดชั้นเป็นชั้นปกติได้
2.4 หนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันตรวจรับงาน
2.5 กรณีลูกหนี้มีผลขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่ 2 หรือ 3 ปีขึ้นไป หรือมีผลขาดทุนสะสม หากมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสทำกำไรชดเชยผลขาดทุน หรือยังคงชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้
3. หลักเกณฑ์การจัดชั้นตามระยะเวลาค้างชำระ และการกันเงินสำรอง
การจัดชั้น ระยะเวลาค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย อัตราการกันเงินสำรอง
สงสัยจะสูญ เกิน 12 เดือน 100% ของหนี้หลังหักหลักประกัน
สงสัย เกิน 6 เดือน 50% ของหนี้หลังหักหลักประกัน
ต่ำกว่ามาตรฐาน เกิน 3 เดือน 30% ของหนี้หลังหักหลักประกัน
กล่าวถึงเป็นพิเศษ เกิน 1 เดือน 2% ของหนี้รวม
ปกติ อื่น ๆ 1% ของหนี้รวม
ข) Non - Performing Loan หมายถึง เงินให้สินเชื่อที่ค้างชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ยนับจากวันที่ครบกำหนดชำระเงินตามงวดที่กำหนดในสัญญา หรือเมื่อได้ทวงถาม หรือเรียกให้ชำระหนี้แล้ว เป็นระยะเวลาเกินกว่า 3 เดือน โดยพิจารณาการค้างชำระเป็นรายสัญญาหรือรายบัญชี สำหรับเงินให้สินเชื่อค้างชำระที่ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วทุกกรณี สถาบันการเงินไม่ต้องนับระยะเวลาการค้างชำระอีกต่อไป และกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ ให้เริ่มนับระยะเวลาการค้างชำระตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินใหม่
ความคืบหน้าของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2542
1. ความคืบหน้าในการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินได้รายงานข้อมูลการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2542 โดยมียอดหนี้คงค้างที่ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วจำนวนทั้งสิ้น 680,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 51,252 ล้านบาท เมื่อเทียบกับจำนวน 628,935 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2542 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.15 ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จมีจำนวน 102,283 ราย เพิ่มขึ้น 13,144รายจากเดือนก่อน
สำหรับหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มีจำนวน 1,204,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39,518 ล้านบาท จากจำนวน 1,165,036 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2542 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.40 รวมจำนวนลูกหนี้ทั้งสิ้น 22,614 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 593 ราย
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่สำเร็จเมื่อรวมกับที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,884,741ล้านบาท เป็นลูกหนี้ 124,897 ราย โดยธนาคารพาณิชย์ของรัฐมียอดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จแล้วเพิ่มขึ้นในเดือนนี้จำนวน 6,322ล้านบาท เทียบกับการเพิ่มขึ้น 24,859 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2542 สำหรับธนาคารพาณิชย์เอกชนเพิ่มขึ้น 35,730 ล้านบาท เทียบกับการเพิ่มขึ้นจำนวน 33,600 ล้านบาทในเดือนกรกฎาคม 2542
เมื่อพิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จำแนกตามภาคธุรกิจที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ การบริการ และการค้าส่งและค้าปลีก โดยธุรกิจในกรุงเทพฯ ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จในสัดส่วนประมาณร้อยละ 79 ภาคกลางและส่วนภูมิภาคอีกประมาณร้อยละ 21
2. ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมาย
ลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในความดูแลของ คปน. รวมทั้งสิ้น 700 บริษัท มูลหนี้รวม 1,497,854 ล้านบาท นั้น ประกอบด้วยมูลหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รวมทั้งสิ้น 968,494 ล้านบาท หรือร้อยละ 65 ของมูลหนี้ทั้งสิ้นของลูกหนี้เป้าหมาย มูลหนี้ของเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้กู้ยืมแก่ลูกหนี้ในไทยผ่านสำนักงานตัวแทน มีจำนวน168,783 ล้านบาท ที่เหลือเป็นหนี้กับสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งภาระค้ำประกัน รับรอง และอาวัลลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จแล้ว 80 บริษัท รวมมูลหนี้ 247,698 ล้านบาท เป็นหนี้กับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน 119,560 ล้านบาท เป็นหนี้ของสถาบันการเงินต่างประเทศ 36,754 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 52 บริษัท มูลหนี้รวม 148,360 ล้านบาท ได้มีการทำสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วอีก 28 บริษัท รวมมูลหนี้ 99,338 ล้านบาท เป็นลูกหนี้ที่เจ้าหนี้มีมติรับแผนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้แล้ว สำหรับการคาดคะเนแนวโน้มการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของกลุ่มเป้าหมาย โดยพิจารณาจากลูกหนี้ที่เข้ามาลงนามเพื่อผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ซึ่งมีกรอบเวลาชัดเจนนั้น คาดว่าจะมีลูกหนี้ที่มีแนวโน้มว่าจะปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จ ประมาณ 480,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL ลดลงอีกประมาณ 400,000 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ขนาดกลางและขนาดเล็ก
การดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ขนาดกลางและขนาดเล็กตามกระบวนการของบันทึกข้อตกลงในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งสถาบันการเงินเจ้าหนี้เสนอรายชื่อลูกหนี้ครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2542 และเดือนถัดไปนั้นมีลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามบันทึกข้อตกลงแล้ว 1,500 ราย รวมมูลหนี้ 31,455 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วจำนวน 184 ราย รวมมูลหนี้ 2,428 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 กันยายน 2542--
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานข้อมูลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสถาบันการเงิน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2542 มาตรฐานและวิธีการปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ด้อยคุณภาพ และความคืบหน้าของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2542 สรุปได้ดังนี้
NPL ของสถาบันการเงิน
1. ภาพรวมยอดคงค้าง NPL เดือนกรกฎาคม 2542
ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2542 ระบบสถาบันการเงินมี NPL คงค้างรวม 2,645.3 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.10ของสินเชื่อรวม
NPL ลดลง 9.6 พันล้านบาทในเดือนกรกฎาคม นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง โดยในเดือนมิถุนายนลดลงมากถึง 75.4 พันล้านบาท จากการที่สถาบันการเงินได้ตัดจำหน่ายหนี้สูญและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นจำนวนมาก ในเดือนกรกฎาคม NPL ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งธนาคารเอกชน และธนาคารรัฐมียอดคงค้างลดลง ส่วนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศและบริษัทเงินทุนยังมียอดคงค้าง NPL ที่สูงขึ้น
ธนาคารพาณิชย์เอกชนมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 1,215.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.86 ของยอดสินเชื่อรวมลดลง 7.6 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนมิถุนายน โดยลดลงมากในภาคอุตสาหกรรมและการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ส่วนธุรกิจนำสินค้าเข้า และการส่งสินค้าออกยังคงมี NPL เพิ่มขึ้น
ธนาคารพาณิชย์รัฐมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 1,170.5 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69.69 ของยอดสินเชื่อรวม ลดลง 7.0 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยลดลงมากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการค้าส่งและการค้าปลีก สำหรับภาคอุตสาหกรรมยังมี NPL เพิ่มขึ้นมาก
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 89.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5 พันล้านบาทจากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยมี NPL เพิ่มขึ้นเกือบทุกภาคธุรกิจยกเว้นเพียงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มี NPL ลดลง
บริษัทเงินทุนมียอด NPL คงค้างทั้งสิ้น 169.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5 พันล้านบาท จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมี NPL สูงขึ้น
2. มาตรฐานและวิธีการปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ด้อยคุณภาพ ที่สำคัญดังนี้
ก) ลูกหนี้จัดชั้น (ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้)
1. การพิจารณาจัดชั้น พิจารณาทุกสัญญาของลูกหนี้แต่ละราย โดยจัดชั้นคุณภาพต่ำสุดเพียงชั้นเดียว และการพิจารณาตามคุณภาพของลูกหนี้ ประกอบกับการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเกินระยะเวลาที่กำหนด
2. กรณียกเว้นที่สามารถจัดชั้นปกติได้ มีดังนี้
2.1 การปรับปรุงโครงสร้างหนี้
1) กรณีเข้าเงื่อนไข 5 ข้อ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถเปลี่ยนการจัดชั้นเป็นปกติได้ทันที (ตามประกาศเรื่องสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542)
2) กรณีรอผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขใหม่ 3 เดือนหรือ 3 งวดการชำระเงิน แล้วแต่อย่างใดจะนานกว่าเมื่อสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้นได้ จึงเปลี่ยนชั้นเป็นปกติได้
2.2 โครงการที่แยกการใช้เงินได้อย่างชัดเจนและมีความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน
2.3 หนี้ที่เข้าข่ายการจัดชั้นปกติมากกว่าร้อยละ 90 ของหนี้รวม สามารถแยกจัดชั้นเป็นชั้นปกติได้
2.4 หนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันตรวจรับงาน
2.5 กรณีลูกหนี้มีผลขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่ 2 หรือ 3 ปีขึ้นไป หรือมีผลขาดทุนสะสม หากมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสทำกำไรชดเชยผลขาดทุน หรือยังคงชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้
3. หลักเกณฑ์การจัดชั้นตามระยะเวลาค้างชำระ และการกันเงินสำรอง
การจัดชั้น ระยะเวลาค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย อัตราการกันเงินสำรอง
สงสัยจะสูญ เกิน 12 เดือน 100% ของหนี้หลังหักหลักประกัน
สงสัย เกิน 6 เดือน 50% ของหนี้หลังหักหลักประกัน
ต่ำกว่ามาตรฐาน เกิน 3 เดือน 30% ของหนี้หลังหักหลักประกัน
กล่าวถึงเป็นพิเศษ เกิน 1 เดือน 2% ของหนี้รวม
ปกติ อื่น ๆ 1% ของหนี้รวม
ข) Non - Performing Loan หมายถึง เงินให้สินเชื่อที่ค้างชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ยนับจากวันที่ครบกำหนดชำระเงินตามงวดที่กำหนดในสัญญา หรือเมื่อได้ทวงถาม หรือเรียกให้ชำระหนี้แล้ว เป็นระยะเวลาเกินกว่า 3 เดือน โดยพิจารณาการค้างชำระเป็นรายสัญญาหรือรายบัญชี สำหรับเงินให้สินเชื่อค้างชำระที่ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วทุกกรณี สถาบันการเงินไม่ต้องนับระยะเวลาการค้างชำระอีกต่อไป และกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ ให้เริ่มนับระยะเวลาการค้างชำระตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินใหม่
ความคืบหน้าของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2542
1. ความคืบหน้าในการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินได้รายงานข้อมูลการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2542 โดยมียอดหนี้คงค้างที่ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วจำนวนทั้งสิ้น 680,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 51,252 ล้านบาท เมื่อเทียบกับจำนวน 628,935 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2542 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.15 ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จมีจำนวน 102,283 ราย เพิ่มขึ้น 13,144รายจากเดือนก่อน
สำหรับหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มีจำนวน 1,204,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39,518 ล้านบาท จากจำนวน 1,165,036 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2542 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.40 รวมจำนวนลูกหนี้ทั้งสิ้น 22,614 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 593 ราย
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่สำเร็จเมื่อรวมกับที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,884,741ล้านบาท เป็นลูกหนี้ 124,897 ราย โดยธนาคารพาณิชย์ของรัฐมียอดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จแล้วเพิ่มขึ้นในเดือนนี้จำนวน 6,322ล้านบาท เทียบกับการเพิ่มขึ้น 24,859 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2542 สำหรับธนาคารพาณิชย์เอกชนเพิ่มขึ้น 35,730 ล้านบาท เทียบกับการเพิ่มขึ้นจำนวน 33,600 ล้านบาทในเดือนกรกฎาคม 2542
เมื่อพิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จำแนกตามภาคธุรกิจที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ การบริการ และการค้าส่งและค้าปลีก โดยธุรกิจในกรุงเทพฯ ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จในสัดส่วนประมาณร้อยละ 79 ภาคกลางและส่วนภูมิภาคอีกประมาณร้อยละ 21
2. ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมาย
ลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในความดูแลของ คปน. รวมทั้งสิ้น 700 บริษัท มูลหนี้รวม 1,497,854 ล้านบาท นั้น ประกอบด้วยมูลหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รวมทั้งสิ้น 968,494 ล้านบาท หรือร้อยละ 65 ของมูลหนี้ทั้งสิ้นของลูกหนี้เป้าหมาย มูลหนี้ของเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้กู้ยืมแก่ลูกหนี้ในไทยผ่านสำนักงานตัวแทน มีจำนวน168,783 ล้านบาท ที่เหลือเป็นหนี้กับสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งภาระค้ำประกัน รับรอง และอาวัลลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จแล้ว 80 บริษัท รวมมูลหนี้ 247,698 ล้านบาท เป็นหนี้กับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน 119,560 ล้านบาท เป็นหนี้ของสถาบันการเงินต่างประเทศ 36,754 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 52 บริษัท มูลหนี้รวม 148,360 ล้านบาท ได้มีการทำสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วอีก 28 บริษัท รวมมูลหนี้ 99,338 ล้านบาท เป็นลูกหนี้ที่เจ้าหนี้มีมติรับแผนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้แล้ว สำหรับการคาดคะเนแนวโน้มการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของกลุ่มเป้าหมาย โดยพิจารณาจากลูกหนี้ที่เข้ามาลงนามเพื่อผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ซึ่งมีกรอบเวลาชัดเจนนั้น คาดว่าจะมีลูกหนี้ที่มีแนวโน้มว่าจะปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จ ประมาณ 480,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL ลดลงอีกประมาณ 400,000 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ขนาดกลางและขนาดเล็ก
การดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ขนาดกลางและขนาดเล็กตามกระบวนการของบันทึกข้อตกลงในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งสถาบันการเงินเจ้าหนี้เสนอรายชื่อลูกหนี้ครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2542 และเดือนถัดไปนั้นมีลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามบันทึกข้อตกลงแล้ว 1,500 ราย รวมมูลหนี้ 31,455 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วจำนวน 184 ราย รวมมูลหนี้ 2,428 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 กันยายน 2542--