แท็ก
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ร่างพระราชบัญญัติ
กระทรวงสาธารณสุข
สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรี
แพทย์แผนไทย
ทำเนียบรัฐบาล--15 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ ....ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีการแพทย์พื้นบ้านหรือการแพทย์แผนโบราณกระจายอยู่ทั่วประเทศ สมควรสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคคล ชุมชน หรือองค์กรเอกชนได้สืบทอดการใช้ประโยชน์จากความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย และให้ได้รับการพัฒนาความรู้ในเรื่องดังกล่าว ตลอดจนให้มีมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมในเรื่องภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเพื่อให้บุคคล ชุมชน หรือองค์กรเอกชนได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้น ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้น
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดคำนิยามและความหมายของคำว่า "ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย" "ความหลากหลายทางชีวภาพ""ทรัพยากรชีวภาพ" "สมุนไพร" "ยาพื้นบ้าน" "ยาแผนไทย" "ตำรายาแผนไทย" "เวชกรรมแผนไทย" "ตำราเวชกรรมแผนไทย" "เทคโนโลยีทางการแพทย์แผนไทย" "ตำราเทคโนโลยีทางการแพทย์แผนไทย" "สูตรยาแผนไทย" "ชุมชน""องค์กรเอกชน" "คณะกรรมการ" "ผู้อนุญาต" และ "พนักงานเจ้าหน้าที่"
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้
3. กำหนดให้จัดตั้งสถาบันการแพทย์แผนไทยขึ้นในกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นสำนักงานทะเบียนกลางรับผิดชอบการดำเนินการต่าง ๆ ในการให้ความคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยมีผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทยเป็นนายทะเบียนกลาง และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดเป็นสำนักงานในจังหวัดของตน โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด
4. กำหนดประเภทของสมุนไพร
5. กำหนดให้สมุนไพรควบคุมหรือพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรใด ไม่มีบุคคล ชุมชนหรือองค์กรเอกชนใดครอบครอง ใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษาหรือพัฒนาสมุนไพร ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่ารัฐเป็นเจ้าของพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรตามกฎหมายนี้ โดยให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบและการใช้ประโยชน์ของสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข
6. กำหนดให้บุคคล ชุมชน หรือองค์กรเอกชนที่ประสงค์จะบริหารจัดการสมุนไพรหรือใช้สิทธิประโยชน์จากพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร ต้องยื่นคำขออนุญาตตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่จะกำหนดไว้ในกฎกระทรวงก่อน เมื่อได้ใบอนุญาตแล้ว จึงมีสิทธิในการบริหารจัดการสมุนไพร หรือใช้สิทธิประโยชน์จากพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรได้ เว้นแต่สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหากกระทำเพื่อผลประโยชน์ในทางการค้า การส่งออกแปรรูป จะต้องแจ้งสถาบันการแพทย์แผนไทยเพื่อควบคุมดูแลและพิจารณากำหนดค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และอาจกำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์จากสมุนไพรดังกล่าว
7. ในพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร ห้ามมิให้ผู้ใดทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศน์ หรือขุดหาแร่หิน ดิน หรือทำให้น้ำในลำน้ำ ลำห้วย หนอง บึง ท่วมท้นเป็นอันตรายต่อสมุนไพร หรือให้ผู้อื่นแสวงหาผลประโยชน์จากสมุนไพรอันเป็นเหตุให้เสียสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ทั้งนี้ จะต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและต้องปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
8. ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน เคลื่อนย้ายหรือส่งออกซึ่งสมุนไพรในเขตพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต
9. แบ่งประเภทของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่จะได้รับการคุ้มครองและส่งเสริม
10. กำหนดประเภทบุคคลที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
11. กำหนดให้การขอขึ้นทะเบียนและการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
12. กำหนดให้บุคคลที่ได้ขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแล้ว จะได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเป็นเจ้าของผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ หรือผู้สืบทอดภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เว้นแต่เป็นการผลิต การขาย มีไว้เพื่อขาย แลกเปลี่ยนที่เป็นการค้าขนาดเล็กเพื่อยังชีพแบบพื้นบ้านไทย และเป็นไปตามวัฒนธรรมประเพณีแห่งท้องถิ่นไทยของชาวบ้าน
13. กำหนดให้บุคคลที่ได้ครอบครอง ใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษา สืบทอด คิดค้น ปรับปรุง หรือพัฒนาสมุนไพรจากภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้นใหม่ตามมาตรา 24 ให้ได้รับการคุ้มครองตลอดชีวิตของบุคคลนั้น หากได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนกลาง หรือสำนักงานทะเบียนในจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ แล้วแต่กรณีก่อนทั้งนี้ สิทธิดังกล่าวไม่อาจโอนได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกที่มีระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี นับแต่บุคคลนั้นได้ตายลง โดยผู้ที่ได้รับการตกทอดจะต้องยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนกลางหรือสำนักงานทะเบียนในจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ แล้วแต่กรณีด้วย แต่หากไม่มีผู้ได้รับการตกทอดทางมรดกหรือพ้นระยะเวลา 50 ปี นับแต่บุคคลนั้นตายลง ให้ตกเป็นของรัฐ
14. กำหนดให้ชุมชน หรือองค์กรเอกชนที่ได้ครอบครอง ใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษา สืบทอด คิดค้น ปรับปรุงหรือพัฒนาสมุนไพรจากภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้นใหม่ตามมาตรา 24 ได้รับการคุ้มครองและดำเนินการตามพระราช-บัญญัตินี้ แต่หากชุมชนหรือองค์กรเอกชนดังกล่าวได้ยุบเลิกไป สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองให้ตกเป็นของรัฐ
15. กำหนดให้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ไม่มีผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา 25 และมาตรา 31 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ารัฐเป็นผู้มีสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยตามพระราชบัญญัตินี้ โดยให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบและการใช้ประโยชน์ของสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข
16. กำหนดให้ผู้ขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่มีรายได้จากการใช้สิทธิภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ต้องชำระค่าธรรมเนียมตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงตลอดระยะเวลาที่ยังประกอบกิจการ
17. กำหนดให้ผู้ขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยไว้แล้ว จะให้บุคคลใดใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้นใหม่ก็ได้ โดยให้ทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร และมีระยะเวลาแน่นอน แต่ต้องไม่เกินครั้งละห้าปี และการทำสัญญาเช่าและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการทำสัญญาเช่า ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
18. กำหนดให้สิทธิภูมิปัญญาในการแพทย์แผนโบราณหรือการแพทย์พื้นบ้านของต่างประเทศ ย่อมได้รับการรับรองและคุ้มครองในประเทศไทย ถ้าพิสูจน์ได้ว่าประเทศนั้นมีกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิภูมิปัญญาการแพทย์แผนโบราณของประเทศนั้น และมีกฎหมายที่มีผลให้เป็นการรับรองและคุ้มครองแก่สิทธิภูมิปัญญาไทยในประเทศนั้น ๆ ทั้งนี้ ลักษณะขอบเขตของการให้การรับรองและคุ้มครองย่อมเป็นไปตามหลักต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน
19. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งเรียกว่า "กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย" ในสถาบันการแพทย์แผนไทย เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
20. กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
21. กำหนดบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 15 กรกฎาคม 2540--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ ....ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีการแพทย์พื้นบ้านหรือการแพทย์แผนโบราณกระจายอยู่ทั่วประเทศ สมควรสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคคล ชุมชน หรือองค์กรเอกชนได้สืบทอดการใช้ประโยชน์จากความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย และให้ได้รับการพัฒนาความรู้ในเรื่องดังกล่าว ตลอดจนให้มีมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมในเรื่องภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเพื่อให้บุคคล ชุมชน หรือองค์กรเอกชนได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้น ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้น
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดคำนิยามและความหมายของคำว่า "ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย" "ความหลากหลายทางชีวภาพ""ทรัพยากรชีวภาพ" "สมุนไพร" "ยาพื้นบ้าน" "ยาแผนไทย" "ตำรายาแผนไทย" "เวชกรรมแผนไทย" "ตำราเวชกรรมแผนไทย" "เทคโนโลยีทางการแพทย์แผนไทย" "ตำราเทคโนโลยีทางการแพทย์แผนไทย" "สูตรยาแผนไทย" "ชุมชน""องค์กรเอกชน" "คณะกรรมการ" "ผู้อนุญาต" และ "พนักงานเจ้าหน้าที่"
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้
3. กำหนดให้จัดตั้งสถาบันการแพทย์แผนไทยขึ้นในกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นสำนักงานทะเบียนกลางรับผิดชอบการดำเนินการต่าง ๆ ในการให้ความคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยมีผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทยเป็นนายทะเบียนกลาง และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดเป็นสำนักงานในจังหวัดของตน โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด
4. กำหนดประเภทของสมุนไพร
5. กำหนดให้สมุนไพรควบคุมหรือพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรใด ไม่มีบุคคล ชุมชนหรือองค์กรเอกชนใดครอบครอง ใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษาหรือพัฒนาสมุนไพร ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่ารัฐเป็นเจ้าของพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรตามกฎหมายนี้ โดยให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบและการใช้ประโยชน์ของสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข
6. กำหนดให้บุคคล ชุมชน หรือองค์กรเอกชนที่ประสงค์จะบริหารจัดการสมุนไพรหรือใช้สิทธิประโยชน์จากพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร ต้องยื่นคำขออนุญาตตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่จะกำหนดไว้ในกฎกระทรวงก่อน เมื่อได้ใบอนุญาตแล้ว จึงมีสิทธิในการบริหารจัดการสมุนไพร หรือใช้สิทธิประโยชน์จากพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรได้ เว้นแต่สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหากกระทำเพื่อผลประโยชน์ในทางการค้า การส่งออกแปรรูป จะต้องแจ้งสถาบันการแพทย์แผนไทยเพื่อควบคุมดูแลและพิจารณากำหนดค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และอาจกำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์จากสมุนไพรดังกล่าว
7. ในพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร ห้ามมิให้ผู้ใดทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศน์ หรือขุดหาแร่หิน ดิน หรือทำให้น้ำในลำน้ำ ลำห้วย หนอง บึง ท่วมท้นเป็นอันตรายต่อสมุนไพร หรือให้ผู้อื่นแสวงหาผลประโยชน์จากสมุนไพรอันเป็นเหตุให้เสียสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ทั้งนี้ จะต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและต้องปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
8. ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน เคลื่อนย้ายหรือส่งออกซึ่งสมุนไพรในเขตพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต
9. แบ่งประเภทของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่จะได้รับการคุ้มครองและส่งเสริม
10. กำหนดประเภทบุคคลที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
11. กำหนดให้การขอขึ้นทะเบียนและการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
12. กำหนดให้บุคคลที่ได้ขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแล้ว จะได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเป็นเจ้าของผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ หรือผู้สืบทอดภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เว้นแต่เป็นการผลิต การขาย มีไว้เพื่อขาย แลกเปลี่ยนที่เป็นการค้าขนาดเล็กเพื่อยังชีพแบบพื้นบ้านไทย และเป็นไปตามวัฒนธรรมประเพณีแห่งท้องถิ่นไทยของชาวบ้าน
13. กำหนดให้บุคคลที่ได้ครอบครอง ใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษา สืบทอด คิดค้น ปรับปรุง หรือพัฒนาสมุนไพรจากภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้นใหม่ตามมาตรา 24 ให้ได้รับการคุ้มครองตลอดชีวิตของบุคคลนั้น หากได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนกลาง หรือสำนักงานทะเบียนในจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ แล้วแต่กรณีก่อนทั้งนี้ สิทธิดังกล่าวไม่อาจโอนได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกที่มีระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี นับแต่บุคคลนั้นได้ตายลง โดยผู้ที่ได้รับการตกทอดจะต้องยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนกลางหรือสำนักงานทะเบียนในจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ แล้วแต่กรณีด้วย แต่หากไม่มีผู้ได้รับการตกทอดทางมรดกหรือพ้นระยะเวลา 50 ปี นับแต่บุคคลนั้นตายลง ให้ตกเป็นของรัฐ
14. กำหนดให้ชุมชน หรือองค์กรเอกชนที่ได้ครอบครอง ใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษา สืบทอด คิดค้น ปรับปรุงหรือพัฒนาสมุนไพรจากภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้นใหม่ตามมาตรา 24 ได้รับการคุ้มครองและดำเนินการตามพระราช-บัญญัตินี้ แต่หากชุมชนหรือองค์กรเอกชนดังกล่าวได้ยุบเลิกไป สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองให้ตกเป็นของรัฐ
15. กำหนดให้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ไม่มีผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา 25 และมาตรา 31 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ารัฐเป็นผู้มีสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยตามพระราชบัญญัตินี้ โดยให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบและการใช้ประโยชน์ของสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข
16. กำหนดให้ผู้ขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่มีรายได้จากการใช้สิทธิภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ต้องชำระค่าธรรมเนียมตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงตลอดระยะเวลาที่ยังประกอบกิจการ
17. กำหนดให้ผู้ขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยไว้แล้ว จะให้บุคคลใดใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยขึ้นใหม่ก็ได้ โดยให้ทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร และมีระยะเวลาแน่นอน แต่ต้องไม่เกินครั้งละห้าปี และการทำสัญญาเช่าและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการทำสัญญาเช่า ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
18. กำหนดให้สิทธิภูมิปัญญาในการแพทย์แผนโบราณหรือการแพทย์พื้นบ้านของต่างประเทศ ย่อมได้รับการรับรองและคุ้มครองในประเทศไทย ถ้าพิสูจน์ได้ว่าประเทศนั้นมีกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิภูมิปัญญาการแพทย์แผนโบราณของประเทศนั้น และมีกฎหมายที่มีผลให้เป็นการรับรองและคุ้มครองแก่สิทธิภูมิปัญญาไทยในประเทศนั้น ๆ ทั้งนี้ ลักษณะขอบเขตของการให้การรับรองและคุ้มครองย่อมเป็นไปตามหลักต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน
19. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งเรียกว่า "กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย" ในสถาบันการแพทย์แผนไทย เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
20. กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
21. กำหนดบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 15 กรกฎาคม 2540--