คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอทั้ง 3 ข้อ ดังนี้
1. ให้ กต. ดำเนินการให้สัตยาบันให้ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย (ASEAN Convention on Counter Terrorism — ACCT)
2. ให้ศูนย์ประสานความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายสากลและอาชญากรรมข้ามชาติ (ศกอช.) สังกัดสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมความร่วมมือภายใต้อนุสัญญาตามข้อ 15 ของอนุสัญญาฯ
3. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานดำเนินการแจ้งภาคีที่เกี่ยวข้องกรณีมีการจับกุมตามข้อ 8 วรรค 6 ของอนุสัญญาฯ
กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (28 พ.ย. 2549) นายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศอาเซียนอื่นได้ลงนามอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2550 ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 12 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ โดยอนุสัญญาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 วัตถุประสงค์
เพื่อสร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาคในการต่อต้าน ป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายอย่างบรูณาการและให้มีประสิทธิภาพ
1.2 ความผิดที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของอนุสัญญาฯ
ระบุให้ความผิดที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของอนุสัญญาฯ คือ ความผิดในอนุสัญญาและพิธีสารของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการก่อการร้าย 14 ฉบับ อันได้แก่ การกระทำผิดต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือน ความปลอดภัยของการเดินเรือทะเล ความปลอดภัยของฐานขุดเจาะถาวร ซึ่งตั้งอยู่บนไหล่ทวีป การยึดอากาศยานอาชญากรรมต่อบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ รวมทั้งตัวแทนทางทูต การสนับสนุนทางการเงินต่อการก่อการร้าย การจับบุคคลเป็นตัวประกัน การวางระเบิดเพื่อก่อการร้ายและการก่อการร้ายด้วยนิวเคลียร์ ทั้งนี้ฐานความผิดดังกล่าวจะผูกพันภาคีอนุสัญญาอาเซียนเฉพาะเมื่อตนเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารที่อ้างถึงใน 14 ฉบับนั้นเท่านั้น
1.3 ขอบเขตความร่วมมือ
ความร่วมมือระหว่างกันจะต้องดำเนินการโดยสอดคล้องกับกฎหมายในของแต่ละรัฐภาคี โดยขอบเขตความร่วมมือที่สำคัญมีดังนี้
(ก) ดำเนินขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อป้องกันการกระทำที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย รวมถึงการจัดให้มีการเตือนภัยล่วงหน้าแก่ภาคีอื่น ๆ โดยการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศระหว่างกัน
(ข) ป้องกันบุคคลใด ๆ ที่ให้การสนับสนุนทางการเงิน วางแผน ให้ความสะดวก หรือกระทำการก่อการร้ายจากการใช้ดินแดนของตนเพื่อความมุ่งประสงค์ข้างต้นต่อภาคีอื่น และ/หรือพลเมืองของภาคีอื่นนั้น
(ค) ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
(ง) ป้องกันการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มก่อการร้าย โดยการควบคุมการผ่านแดนและการควบคุมการออกเอกสารแสดงตนและเอกสารเดินทางอย่างมีประสิทธิผล และโดยอาศัยมาตรการป้องกันการทำเอกสารปลอม การปลอมและการใช้อย่างฉ้อฉล ซึ่งเอกสารแสดงตนและเอกสารเดินทาง
(จ) เสริมสร้างความสามารถและความพร้อมที่จะจัดการกับการก่อการร้ายทางเคมี ชีวภาพ กัมมันตภาพรังสี นิวเคลียร์ (ซีบีอาร์เอ็น) การก่อการร้ายทางไซเบอร์ และการก่อการร้ายในรูปแบบใหม่ใด ๆ ฯลฯ
1.4 การกำหนดเขตอำนาจศาลเหนือความผิด
อนุสัญญาฯ กำหนดให้ภาคีดำเนินมาตรการเท่าที่จำเป็น เพื่อกำหนดเขตอำนาจศาลเหนือความผิดที่อ้างถึงในข้อ 2 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ กรณีที่ความผิดนั้นได้กระทำในอาณาเขตของตน หรือบนเรือที่ชักธงของภาคี หรืออากาศที่จดทะเบียนตามกฎหมายของภาคี หรือความผิดนั้นได้กระทำโดยคนชาติของภาคี นอกจากนี้ หากเป็นกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอยู่ในอาณาเขตของรัฐภาคีใดและรัฐภาคีนั้นมิได้ส่งบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังรัฐภาคีอื่น ซึ่งได้กำหนดเขตอำนาจศาลของตนไว้แล้ว ให้รัฐภาคีดำเนินมาตรการเท่าที่จำเป็นในทำนองเดียวกันเพื่อกำหนดเขตอำนาจศาลของตนเหนือความผิดที่กำหนดไว้ในข้อ 2 ของอนุสัญญาฯ ด้วยเช่นกัน
1.5 อนุสัญญาฯ ได้รวมบทบัญญัติที่ห้ามมิให้ยกข้อพิจารณาทางการเมือง ปรัชญา อุดมการณ์เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา หรืออื่น ๆ เป็นข้ออ้างในการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการกระทำนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะข่มขู่ประชาชนหรือบีบบังคับรัฐบาลหรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทำหรือละเว้นจากการกระทำใด (ข้อ 9) รวมทั้งมิให้ถือว่าการกระทำความผิดตามอนุสัญญาฯ เป็นความผิดทางการเมืองหรือความผิดที่เกี่ยวข้อง อันเป็นเหตุปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน (ข้อ 14)
1.6 อนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่สามสิบนับจากวันที่มีประเทศสมาชิกประเทศที่ 6 ยื่นสัตยาบันสารหรือให้ความเห็นชอบแก่เลขาธิการอาเซียน
2. คณะกรรมการเพื่อพิจารณาการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรี (25 กุมภาพันธ์ 2545) ประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรมพระธรรมนูญ ผู้แทนสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ผู้แทนกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ผู้แทนกรมยุทธการทหารเรือ ผู้แทนกรมองค์การระหว่างประเทศ ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และผู้แทนกลุ่มงานความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยมีอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเป็นประธาน ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2550 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2550 ได้พิจารณาพันธกรณีในอนุสัญญาฯ เป็นรายข้อ และมีมติที่ประชุมสรุปได้ว่า ไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีในอนุสัญญาฯ ได้อย่างครบถ้วน และสามารถเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือออกกฎหมายอนุวัติการอีก
3. กต. เห็นว่าอนุสัญญาฯ ไม่เข้าข่ายมาตรา 190 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 18 ธันวาคม--จบ--
1. ให้ กต. ดำเนินการให้สัตยาบันให้ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย (ASEAN Convention on Counter Terrorism — ACCT)
2. ให้ศูนย์ประสานความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายสากลและอาชญากรรมข้ามชาติ (ศกอช.) สังกัดสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมความร่วมมือภายใต้อนุสัญญาตามข้อ 15 ของอนุสัญญาฯ
3. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานดำเนินการแจ้งภาคีที่เกี่ยวข้องกรณีมีการจับกุมตามข้อ 8 วรรค 6 ของอนุสัญญาฯ
กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (28 พ.ย. 2549) นายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศอาเซียนอื่นได้ลงนามอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2550 ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 12 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ โดยอนุสัญญาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 วัตถุประสงค์
เพื่อสร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาคในการต่อต้าน ป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายอย่างบรูณาการและให้มีประสิทธิภาพ
1.2 ความผิดที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของอนุสัญญาฯ
ระบุให้ความผิดที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของอนุสัญญาฯ คือ ความผิดในอนุสัญญาและพิธีสารของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการก่อการร้าย 14 ฉบับ อันได้แก่ การกระทำผิดต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือน ความปลอดภัยของการเดินเรือทะเล ความปลอดภัยของฐานขุดเจาะถาวร ซึ่งตั้งอยู่บนไหล่ทวีป การยึดอากาศยานอาชญากรรมต่อบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ รวมทั้งตัวแทนทางทูต การสนับสนุนทางการเงินต่อการก่อการร้าย การจับบุคคลเป็นตัวประกัน การวางระเบิดเพื่อก่อการร้ายและการก่อการร้ายด้วยนิวเคลียร์ ทั้งนี้ฐานความผิดดังกล่าวจะผูกพันภาคีอนุสัญญาอาเซียนเฉพาะเมื่อตนเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารที่อ้างถึงใน 14 ฉบับนั้นเท่านั้น
1.3 ขอบเขตความร่วมมือ
ความร่วมมือระหว่างกันจะต้องดำเนินการโดยสอดคล้องกับกฎหมายในของแต่ละรัฐภาคี โดยขอบเขตความร่วมมือที่สำคัญมีดังนี้
(ก) ดำเนินขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อป้องกันการกระทำที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย รวมถึงการจัดให้มีการเตือนภัยล่วงหน้าแก่ภาคีอื่น ๆ โดยการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศระหว่างกัน
(ข) ป้องกันบุคคลใด ๆ ที่ให้การสนับสนุนทางการเงิน วางแผน ให้ความสะดวก หรือกระทำการก่อการร้ายจากการใช้ดินแดนของตนเพื่อความมุ่งประสงค์ข้างต้นต่อภาคีอื่น และ/หรือพลเมืองของภาคีอื่นนั้น
(ค) ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
(ง) ป้องกันการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มก่อการร้าย โดยการควบคุมการผ่านแดนและการควบคุมการออกเอกสารแสดงตนและเอกสารเดินทางอย่างมีประสิทธิผล และโดยอาศัยมาตรการป้องกันการทำเอกสารปลอม การปลอมและการใช้อย่างฉ้อฉล ซึ่งเอกสารแสดงตนและเอกสารเดินทาง
(จ) เสริมสร้างความสามารถและความพร้อมที่จะจัดการกับการก่อการร้ายทางเคมี ชีวภาพ กัมมันตภาพรังสี นิวเคลียร์ (ซีบีอาร์เอ็น) การก่อการร้ายทางไซเบอร์ และการก่อการร้ายในรูปแบบใหม่ใด ๆ ฯลฯ
1.4 การกำหนดเขตอำนาจศาลเหนือความผิด
อนุสัญญาฯ กำหนดให้ภาคีดำเนินมาตรการเท่าที่จำเป็น เพื่อกำหนดเขตอำนาจศาลเหนือความผิดที่อ้างถึงในข้อ 2 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ กรณีที่ความผิดนั้นได้กระทำในอาณาเขตของตน หรือบนเรือที่ชักธงของภาคี หรืออากาศที่จดทะเบียนตามกฎหมายของภาคี หรือความผิดนั้นได้กระทำโดยคนชาติของภาคี นอกจากนี้ หากเป็นกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอยู่ในอาณาเขตของรัฐภาคีใดและรัฐภาคีนั้นมิได้ส่งบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังรัฐภาคีอื่น ซึ่งได้กำหนดเขตอำนาจศาลของตนไว้แล้ว ให้รัฐภาคีดำเนินมาตรการเท่าที่จำเป็นในทำนองเดียวกันเพื่อกำหนดเขตอำนาจศาลของตนเหนือความผิดที่กำหนดไว้ในข้อ 2 ของอนุสัญญาฯ ด้วยเช่นกัน
1.5 อนุสัญญาฯ ได้รวมบทบัญญัติที่ห้ามมิให้ยกข้อพิจารณาทางการเมือง ปรัชญา อุดมการณ์เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา หรืออื่น ๆ เป็นข้ออ้างในการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการกระทำนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะข่มขู่ประชาชนหรือบีบบังคับรัฐบาลหรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทำหรือละเว้นจากการกระทำใด (ข้อ 9) รวมทั้งมิให้ถือว่าการกระทำความผิดตามอนุสัญญาฯ เป็นความผิดทางการเมืองหรือความผิดที่เกี่ยวข้อง อันเป็นเหตุปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน (ข้อ 14)
1.6 อนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่สามสิบนับจากวันที่มีประเทศสมาชิกประเทศที่ 6 ยื่นสัตยาบันสารหรือให้ความเห็นชอบแก่เลขาธิการอาเซียน
2. คณะกรรมการเพื่อพิจารณาการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรี (25 กุมภาพันธ์ 2545) ประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรมพระธรรมนูญ ผู้แทนสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ผู้แทนกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ผู้แทนกรมยุทธการทหารเรือ ผู้แทนกรมองค์การระหว่างประเทศ ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และผู้แทนกลุ่มงานความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยมีอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเป็นประธาน ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2550 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2550 ได้พิจารณาพันธกรณีในอนุสัญญาฯ เป็นรายข้อ และมีมติที่ประชุมสรุปได้ว่า ไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีในอนุสัญญาฯ ได้อย่างครบถ้วน และสามารถเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือออกกฎหมายอนุวัติการอีก
3. กต. เห็นว่าอนุสัญญาฯ ไม่เข้าข่ายมาตรา 190 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 18 ธันวาคม--จบ--