ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

ข่าวการเมือง Tuesday May 12, 2020 17:03 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้

1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ

3. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขานุการที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยกำหนดเกี่ยวกับการขอคืน หรือชดใช้คืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้ครอบคลุมทุกความผิดมูลฐาน จากเดิมคุ้มครองเฉพาะความเสียหายทางทรัพย์สิน และการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในความผิดมูลฐานให้มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่พนักงานอัยการ ร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตลอดจนการให้ริบทรัพย์สินอื่นทดแทน หรือริบทรัพย์สินตามมูลค่าของทรัพย์สินที่ ตกเป็นของแผ่นดินซึ่งสูญหายหรือเสียหาย โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. กำหนดให้ยกเลิกความในวรรคหกของมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 เพื่อให้การขอคืนหรือชดใช้คืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายครอบคลุมทุกความผิดมูลฐาน

2. กำหนดให้ผู้รับประโยชน์หรือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ ตกเป็นของแผ่นดิน สามารถยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตน ก่อนศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

3. กำหนดให้ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานที่จะมีสิทธิที่ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต้องเป็นผู้ที่แสดงให้ศาลเห็นว่า มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีความผิดมูลฐานหรือคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดมูลฐาน ให้ตนได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือตนเป็นผู้เสียหายในมูลฐานความผิดและได้ร้องทุกข์ไว้หรือมีการดำเนินคดี เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแล้ว

4. กำหนดให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดิน ถ้าผู้ร้องมิใช่เจ้าของที่แท้จริงหรือมิใช่ผู้รับโอนโดยสุจริต เว้นแต่ตนเป็นผู้เสียหายตามข้อ 3. ให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินดังกล่าวไปชดใช้เป็นค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายตามข้อ 3. แทนการสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ และหากมีทรัพย์สินเหลือให้ตกเป็นของแผ่นดิน

5. กำหนดให้กรณีที่ทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินโดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้ สูญหาย ไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ มีการนำไปรวมกับทรัพย์สินอื่น มีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือติดตามเอาคืนได้ยากเกินสมควร ศาลอาจกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินนั้น โดยคำนึงถึงราคาท้องตลาดในวันที่มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน และสั่งให้ผู้มีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นชำระเงินแทนตามมูลค่า โดยคำนึงสัดส่วนของทรัพย์สินที่มี การรวมเข้าด้วยกัน หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้มาแทนทรัพย์สินนั้น และการชำระเงินแทนจะชำระทั้งหมดในคราวเดียวหรือจะให้ผ่อนก็ได้ ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัด และสามารถบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของบุคคลนั้นได้ แต่ต้องดำเนินการภายในสิบปีนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุด

6. กำหนดให้กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินหรือมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปชดใช้เป็นค่าสินไหมทดแทน ถ้าศาลเห็นว่าผู้ร้องเป็นผู้รับประโยชน์หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน หรือได้มาซึ่งประโยชน์หรือส่วนได้เสียโดยสุจริตและตามศีลธรรมอันดี หรือกุศลสาธารณะ ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของผู้ร้องได้ แต่ถ้าผู้ร้องดังกล่าวเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐาน ฟอกเงินมาก่อน ให้สันนิษฐานว่าเป็นผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียได้มาโดยไม่สุจริต

7. กำหนดให้กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินหรือมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปชดใช้เป็นค่าสินไหมทดแทน ถ้าศาลเห็นว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่แท้จริงและไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเป็นผู้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือเป็นผู้รับประโยชน์ หรือมีส่วนได้เสียโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน หรือได้มาซึ่งประโยชน์หรือส่วนได้เสียโดยสุจริตและตามศีลธรรมอันดีหรือกุศลสาธารณะ ให้ศาลคืนทรัพย์สินนั้นหรือกำหนดเงื่อนไขการคุ้มครองสิทธิ หรือให้ใช้ราคาหรือค่าเสียหายแทน

8. กำหนดให้กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินหรือมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปชดใช้เป็นค่าสินไหมทดแทน ถ้ามีทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มอีก ให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน

9. กำหนดให้มีบทเฉพาะกาลรับรองสิทธิของผู้เสียหายที่มีอยู่เดิมก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัตินี้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ที่มา: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 12 พฤษภาคม 2563


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ