เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2550/2551 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2549/2550
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2550/2551 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2549/2550 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เป็นประธานกรรมการในขณะนั้น ซึ่งได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในคราวประชุมครั้งที่ 4/2551 วันที่ 8 สิงหาคม 2551 ดังนี้
1. อนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ให้กองทุนฯ เพื่อเป็นเงินสมทบชดเชยส่วนต่างราคาอ้อย ขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2549/2550 จำนวน 5,277.48 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2551 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
2. รับทราบรายงานผลที่กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีมอบหมาย (8 มกราคม 2551) เกี่ยวกับการจัดหาเงินกู้ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และการอนุโลมให้โรงงานชำระภาษีเงินได้ในส่วนของเครดิตโรงงานเมื่อได้รับเงินคืนจากกองทุนฯ
3. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อเสนอที่กระทรวงการคลังเสนอและความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขภาระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กองทุนฯ) และรายงานความคืบหน้าเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
กระทรวงการคลังรายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณานั้น กระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วดังนี้
1. การจัดหาเงินกู้ให้กองทุนฯ
1.1 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2551 กองทุนฯ ต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 5,277.48 ล้านบาท ธ.ก.ส. สามารถให้เงินกู้แก่กองทุนฯ ได้ โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ตามอัตราดอกเบี้ยของหนี้เดิม เนื่องจากเงินกู้ดังกล่าวมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เพราะรัฐบาลรับภาระจ่ายเงินต้นให้แล้ว
1.2 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2551 กองทุนฯ ต้องกู้เงินจาก ธ.ก.ส. จำนวน 12,370.8 ล้านบาท แทนจำนวน 4,225.30 ล้านบาท การกู้เงินครั้งนี้ทำให้กองทุนฯ เป็นหนี้ ธ.ก.ส. ทั้งสิ้น จำนวน 30,427.92 ล้านบาท (12,779.64+12,370.80+5,277.48 ล้านบาท) โดยหนี้ จำนวน 25,150.44 ล้านบาท คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ขึ้นราคาน้ำตาลทราย ณ หน้าโรงงานเพื่อเป็นรายได้ของกองทุนฯ สำหรับนำไปชำระหนี้ให้แก่ชาวไร่อ้อย ซึ่ง ธ.ก.ส. คาดว่ากองทุนฯ จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 8,000 ล้านบาท รวมกับรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายสีรำภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนฯ อีกประมาณปีละ 1,300 ล้านบาท รวมเป็น 9,300 ล้านบาท ซึ่งกองทุนฯ จะชำระหนี้ จำนวน 25,150.44 ล้านบาท ได้ภายใน 3 ปี โดยกองทุนฯ ต้องเจรจาเรื่องอัตราดอกเบี้ยกับ ธ.ก.ส. ต่อไป
2. การอนุโลมให้โรงงานชำระภาษีเงินได้ในส่วนของเครดิตโรงงาน จำนวน 2,984.49 ล้านบาท เมื่อได้รับเงินคืนจากกองทุนฯ
โดยที่การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 กำหนดว่า “ .....การคำนวณรายได้และรายจ่ายให้ใช้เกณฑ์สิทธิ์ โดยให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น.....” ซึ่งโรงงานน้ำตาลส่วนใหญ่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี โดยนำเงินชดเชยที่จะได้รับจากกองทุนฯ มารวมคำนวณภาษีแล้ว ซึ่งเป็นการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนดแล้ว การขออนุโลมให้โรงงานชำระภาษีเงินได้ในส่วนของเครดิตโรงงาน จะทำให้มีมาตรการภาษีสำหรับผู้ประกอบการผลิตสินค้าใดสินค้าหนึ่งเป็นการเฉพาะ ทำให้เกิดความไม่เป็นกลางในระบบภาษีในชั้นนี้ จึงยังไม่มีเหตุผล อันควรที่จะอนุโลมการชำระภาษีแก่โรงงานน้ำตาลที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุนฯ
3. ข้อเสนอในการแก้ไขภาระหนี้สินของกองทุนฯ
โดยที่กองทุนมีปัญหาในการจัดเก็บรายได้ รวมทั้งการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น และราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลการตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้น พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย มาตรา 56 บัญญัติให้กองทุนฯ ต้องจ่ายชดเชยให้โรงงานน้ำตาล แต่กองทุนฯ มีรายได้ไม่พอ จึงต้องหาเงินกู้มาดำเนินการซึ่งเป็นภาระกับกองทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรมีการบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายหลายประการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551--จบ--