คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ แนวทางการจัดสรรเงินกู้ และการกลั่นกรองและการกำกับติดตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครง สร้างพื้นฐาน ดังนี้
1. วัตถุประสงค์
เป็นโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน ดังนี้
1.1 เพื่อเป็นการเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินของรัฐสำหรับรองรับการขยายสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาล ในการขยายสินเชื่อ ให้แก่ผู้ส่งออก ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการค้ำประกันให้แก่ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการรายย่อย
1.2 เพื่อการลงทุนในโครงการภาครัฐขนาดกลางและขนาดเล็ก เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดกลางและขนาดเล็ก ของภาครัฐ ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและสร้างการจ้างงานในระยะสั้น
1.3 เพื่อการลงทุนในโครงการภาครัฐขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นการลงทุนในโครง สร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และ เพิ่มผลิตภาพ (productivity) ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
1.4 เพื่อสนับสนุนโครงการ แผนงานและ/หรือกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายหรือให้ความเห็นชอบ
2. แนวทางการจัดสรรเงินกู้ ดังนี้
2.1 การเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินของภาครัฐ จะพิจารณาจัดสรรวงเงินเพื่อเพิ่มทุนตามความจำเป็นในการขยายสินเชื่อ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยประเมินถึงสถานะของเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของสถาบันการเงินของรัฐเพื่อให้มีความมั่นคง และสามารถสนองตอบ ต่อนโยบายการขยายสินเชื่อของรัฐบาลได้
2.2 การลงทุนในโครงการภาครัฐขนาดกลางและขนาดเล็ก จะพิจารณาโครงการที่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้าง งานในระยะสั้น ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการไม่เกิน 15 เดือน (มีนาคม 2552-พฤษภาคม 2553)
2.3 การลงทุนในโครงการภาครัฐขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคม จะพิจารณาจัดสรรให้กับ โครงการของรัฐขนาดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ โดยเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการไม่เกิน 36 เดือน (มีนาคม 2552-กุมภาพันธ์ 2555)
2.4 การสนับสนุนโครงการ แผนงานและ/หรือกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายหรือให้ความเห็นชอบ
3. การกลั่นกรองและการกำกับติดตามโครงการ
เพื่อให้การพิจารณากลั่นกรองโครงการที่จะใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปอย่างโปร่งใสและสอด คล้องกับนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งสามารถกำกับติดตามโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังจึงเห็นควรแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง และกำกับติดตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้
องค์ประกอบ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและ หนี้สิน เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ โดยมี ผู้ อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นกรรมการและเลขานุการ รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นกรรมการและผู้ช่วย เลขานุการผู้อำนวยการสำนักบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
โดยมีอำนาจหน้าที่ ในการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และกลั่นกรองโครงการที่จะใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเสนอผลการพิจารณาต่อกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ กำกับและติดตามการดำเนิน โครงการ และการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และกรอบการดำเนินงานที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี รายงานความคืบหน้าโครงการ และผลการเบิกจ่ายเงินกู้ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะๆ รวมทั้งจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการและผลการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อ กระทรวงการคลัง เพื่อรายงานให้รัฐสภาทราบ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
2. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเจรจาทาบทามเพื่อขอใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินและองค์กรระหว่างประเทศ 3 แหล่ง คือ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) โดยมีวงเงินกู้ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญ สหรัฐ หรือเทียบเท่าประมาณ 70,000 ล้านบาท การกู้เงินดังกล่าวเป็นการกู้เงินจากองค์กรและสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมีต้นทุนการกู้ เงินต่ำกว่าการกู้เงินจากตลาดการเงินต่างประเทศ และมีเงื่อนไขการกู้เงินที่ผ่อนปรนกว่า นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับการกู้เงินในประเทศโดยใช้ ต้นทุนในการแปลงหนี้ต่างประเทศเป็นหนี้เงินบาท (Swap Rate) ยังพบว่าการกู้เงินจากแหล่งดังกล่าวมีต้นทุนการกู้เงินโดยเฉลี่ยต่ำกว่าการกู้เงิน ในประเทศโดยมีต้นทุนการกู้เงินอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.38-3.70 ต่อปี ภายใต้ระยะเงินกู้เฉลี่ยประมาณ 10 ปี (ต้นทุนการกู้เงินในประเทศของ รัฐบาล ระยะ 10 ปี ณ วันที่ 15 มกราคม 2552 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.45 ต่อปี)
แหล่งเงินกู้ ต้นทุนการกู้เงิน* (%) อายุเงินกู้เฉลี่ย (ปี) ธนาคารโลก 2.93-3.70 10 ADB 2.52 10 JICA 2.38 10 หมายเหตุ : *เป็นต้นทุนในการแปลงหนี้ต่างประเทศเป็นหนี้เงินบาท ณ วันที่ 12 มกราคม 2552--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 --จบ--