เรื่อง รายงานผลการดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนและขออนุมัติขั้นตอน
วิธีการ และอัตราค่าใช้จ่ายตามโครงการ
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่คณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติขั้นตอน วิธีการ และอัตราค่าใช้จ่ายตามโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสังคมในชุมชน รวมทั้งอนุมัติในหลักการให้ส่วนราชการต่าง ๆ ยกเว้นการทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานที่ร่วมดำเนินงาน โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นส่วนราชการหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และกรณีงบประมาณรายจ่าย หมวดเงินอุดหนุนที่หน่วยดำเนินงานได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ หากมีเงินเหลือจ่ายให้นำส่งคืน มิใช่ตกเป็นรายได้ของหน่วยดำเนินงาน
2. เมื่อคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน อนุมัติหลักสูตรและกรอบวงเงินงบประมาณให้สถาบันจัดฝึกอบรม (Service Provider) เพื่อนำไปจัดฝึกอบรมให้ผู้ว่างงานที่ลงทะเบียนไว้แล้ว สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารฯ ให้สถาบันจัดฝึกอบรม และสำนักงบประมาณ โดยให้สถาบันจัดฝึกอบรม จัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณโดยตรง
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้กระทรวงการคลังรับไปตรวจสอบว่ามีความจำเป็นจะต้องออกระเบียบเรื่องนี้เป็นการเฉพาะหรือไม่ แล้วให้ดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ได้พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ซึ่งสรุปผลการประชุมดังนี้
1. สถาบันจัดฝึกอบรม (Service Provider) ซึ่งได้แก่
1.1 มหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นต้น
1.2 กลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคม เช่น เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน สถาบันองค์กรพัฒนาชุมชน มูลนิธิเอกชนที่ไม่หวังผลกำไรเป็นต้น
1.3 กลุ่มส่วนราชการอื่น ที่มีกิจกรรมด้านการฝึกอบรม เช่น การพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นต้น จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมเสนอคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน
2. เมื่อมีการอนุมัติให้สถาบันจัดฝึกอบรม (Service Provider) หลักสูตรหนึ่งหลักสูตรใดแล้ว ให้สถาบันจัดฝึกอบรมนั้นๆ จัดทำแผนการดำเนินงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณรายละเอียดวงเงินค่าใช้จ่าย ส่งให้สำนักงบประมาณโดยตรงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณ โดยไม่ต้องผ่านสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
3. กรณีสถาบันจัดฝึกอบรมเป็นส่วนราชการ / สถาบันการศึกษา สำนักงบประมาณจะโอนเงินตรงให้ส่วนราชการ / สถาบันการศึกษา โดยผ่านระบบ GFMIS
กรณีสถาบันจัดฝึกอบรมเป็นภาคเอกชน ภาคประชาสังคม มูลนิธิ สมาคม ให้เสนอของบประมาณผ่านหน่วยงานภาครัฐระดับกระทรวงหรือกรมที่เกี่ยวข้อง ให้กระทรวงหรือกรมดังกล่าวเป็นผู้ตั้งเบิกงบประมาณ โดยขอทำความตกลงกับกระทรวงหรือกรมดังกล่าวก่อน
4. อัตราค่าใช้จ่าย มีรายละเอียด ดังนี้
4.1) ค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรม
(1) ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไม่เกิน 5,000 บาท/คน/เดือน โดยเฉลี่ย ซึ่งเป็นอัตราสูงสุด กำหนดจ่ายให้สถาบันจัดฝึกอบรม เช่น ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย และในส่วนภาคเอกชน (เช่น สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ภาคประชาสังคม มูลนิธิ สมาคม ซึ่งเสนอโครงการผ่านส่วนราชการ เป็นต้น เพื่อเป็นค่าวิทยากร ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าสาธารณูปโภค (ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา) และค่าอาหารกลางวัน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
(2) ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างการอบรม 4,800 บาท/คน/เดือนโดยเฉลี่ย จ่ายตามวันที่เข้าอบรมจริง จำนวน 160 บาท/คน/วัน โดยผู้เข้าอบรมแต่ละคนต้องแสดงหลักฐานการรับเงินรายบุคคล
(3) ค่าพาหนะเดินทางเหมาจ่ายระหว่างการอบรม 720 บาท/คน/เดือน จ่ายตามวันที่เข้าอบรม จำนวน 30 บาท/คน/วัน โดยผู้เข้าอบรมแต่ละคนต้องแสดงหลักฐานการรับเงินรายบุคคล
(4) ค่าพาหนะเดินทางที่ฝึกอบรม เหมาจ่าย ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด (1-500 กม. เหมาจ่าย 500 บาท 501-1,000 กม. เหมาจ่าย 1,000 บาท และ 1,001 กม.ขึ้นไป เหมาจ่าย 1,500 บาท) โดยผู้เข้าอบรมแต่ละคนต้องแสดงหลักฐานการรับเงินรายบุคคล กรณีที่สถาบันจัดฝึกอบรม เมื่อได้รับเงินค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมจำนวน 5,000 บาท/คน/เดือน ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ เว้นแต่ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ และค่าเดินทางสำหรับผู้เข้ารับการอบรม ให้ถือปฏิบัติตามที่คณะกรรมการบริหารฯ กำหนด
4.2 ค่าใช้จ่ายในกรณีผ่านการอบรมแล้ว ผู้เข้ารับการฝึกอบรมประสงค์จะกลับไปประกอบอาชีพในภูมิลำเนา
กรณีผ่านการฝึกอบรมแล้วและประสงค์จะกลับภูมิลำเนา สามารถขอรับเงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพจากโครงการฯ ดังนี้
(1) เงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพจำนวน 4,800 บาท/คน/เดือน เป็นเวลาไม่เกิน 3 เดือน ทั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารฯ
(2) ค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา เหมาจ่าย ตามหลักเกณฑ์ทีกำหนด (1-500 กม. เหมาจ่าย 500 บาท 501-1,000 กม. เหมาจ่าย 1,000 บาท และ 1,001 กม. ขึ้นไป เหมาจ่าย 1,500 บาท) สำหรับผู้ผ่านการฝึกอบรมแล้ว ประสงค์จะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในชุมชนภูมิลำเนา ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารฯ และจะได้รับเงินค่าเดินทาง พร้อมกับเงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพเดือนแรก โดยการรับรองการกลับไปทำงานในภูมิลำเนาจากฝ่ายปกครองในพื้นที่
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหน่วยเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพและค่าเดินทางกลับภูมิลำเนาให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมแล้ว และประสงค์จะกลับไปทำงานในชุมชนภูมิลำเนา โดยมีกระบวนการดังนี้
1) ให้สถาบันจัดฝึกอบรม (Service Provider) แจกแบบฟอร์มให้ผู้ผ่านการอบรมที่ประสงค์จะกลับภูมิลำเนาเพื่อไปประกอบอาชีพลงทะเบียนตามแบบฟอร์มที่กำหนด พร้อมทั้งส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาหน้าสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เข้ารับการอบรมตามที่คณะกรรมการบริหารฯ กำหนด และให้สถาบันจัดฝึกอบรม รวบรวมส่งเอกสารดังกล่าวทั้งหมดให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
2) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรวบรวมรายชื่อผู้ผ่านการอบรมและประสงค์กลับภูมิลำเนาเพื่อไปประกอบอาชีพเสนอคณะกรรมการบริหารฯ พิจารณาอนุมัติ
3) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารฯ ต่อสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณ
4) สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
5) ผู้ผ่านการอบรมฯ ต้องไปรายงานตัวต่อพนักงานฝ่ายปกครองเพื่อรับรองการกลับไปประกอบอาชีพ หรือเข้าร่วมโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนของรัฐบาล อย่างน้อยเดือนละครั้งดังนี้
5.1) กรณีที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตที่มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน และนายอำเภอรับรอง
5.2) กรณีที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเทศบาลหรือเมืองพัทยาให้ประธานชุมชน และนายกเทศมนตรี หรือนายกเมืองพัทยา รับรอง
5.3) กรณีที่มีภูมิลำเนาอยู่เขตกรุงเทพมหานครให้ประธานชุมชน และผู้อำนวยการเขตรับรอง
6) ให้นายอำเภอ หรือนายกเทศมนตรี หรือนายกเมืองพัทยา หรือผู้อำนวยการเขต ในกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี มีหนังสือแจ้งการรับรองตามข้อ (5) ส่งให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
7) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีโอนเงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพให้แก่ผู้ผ่านการอบรมที่กลับภูมิลำเนาตามที่ได้แจ้งขึ้นทะเบียนและได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารฯ และตามที่นายอำเภอ หรือนายกเทศมนตรี หรือนายกเมืองพัทยา หรือผู้อำนวยการเขต ในกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี รับรอง เป็นรายเดือน ๆ ละ 4,800 บาท และค่าพาหนะเดินทางกลับภูมิลำเนา (จ่ายครั้งเดียว) ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มีนาคม 2552 --จบ--