คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม 2552 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. การส่งออก
การส่งออก มีมูลค่า 10,496.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนหน้าลดลงร้อยละ 26.5 และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงร้อยละ 9.6 และเมื่อคิดในรูปเงินบาทการส่งออกมีมูลค่า 360,117.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.6 และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงร้อยละ 10.9
ปัจจัยที่มีผลทำให้การส่งออกในเดือนมกราคมลดลง ได้แก่
1) ความต้องการในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในตลาดส่งออกหลัก ของไทย คือ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และ ญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจมีการถดถอยมากขึ้นเป็นลำดับและในตลาดส่งออกอื่นๆ ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวและถดถอย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มรุนแรงและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งผู้ซื้อในต่างประเทศยังมีสต็อคคงเหลือทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศชะลอการสั่งซื้อหรือหยุดการสั่งซื้อชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์มากขึ้น มีการต่อรองเพื่อขอลดราคาสินค้า รวมทั้งมีการยกเลิกคำสั่งซื้อบางส่วนในช่วงปลายปี 2551
2) ปัญหาการขาดสภาพคล่องของผู้ซื้อในต่างประเทศจากผลกระทบของวิกฤตทางการเงินที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ทำให้มีการขอยืดระยะเวลาในการชำระเงินมากขึ้น รวมทั้ง มีการขอเลื่อนการส่งมอบ ทำให้ผู้ส่งออกลังเลที่จะรับคำสั่งซื้อใหม่ๆ ทั้งจากผู้ซื้อรายเดิม ผู้ซื้อรายใหม่หรือ ผู้ซื้อในตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น เนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะได้รับการชำระเงินค่าสินค้า รวมทั้งค่าใช้จ่าย ในการซื้อประกันการชำระเงินก็เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ส่งออกและส่งผลทำให้ผู้ส่งออกของไทย ประสบปัญหาสภาพคล่องตามไปด้วย
3) ราคาสินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง สินค้าอาหารประเภท อาหารทะเล กุ้ง ผลไม้ และไก่ น้ำมัน เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และเหล็กและเหล็กกล้า เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง การเก็งกำไรที่ลดไปอย่างมาก รวมทั้งการแข่งขันทางการค้าที่มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก ทุกประเทศต่างก็พยายามเร่งรัดผลักดันการส่งออกเพื่อเป็นการบรรเทาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
4) การปิดสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคมยังมีผลกระทบต่อเนื่องต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อในต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศบางส่วนลังเลที่จะสั่งซื้อสินค้าจากไทยและหันไปซื้อจากประเทศอื่นๆ แทน ส่งผลต่อการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 2552
สินค้าส่งออก ส่งออกลดลงทุกหมวด โดยสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตร ลดลงร้อยละ 25.6 สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ลดลงร้อยละ 24.5 และสินค้าอื่น ๆ ลดลงร้อยละ 34.6
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรสำคัญ ลดลงทุกรายการตามความต้องการในตลาดโลกที่ลดลง การแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อและมีการต่อรองราคามาก โดยเป็นการลดลง ทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 41.9 และ 23.7 ตามลำดับ ยางพารา ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 21.0 และ 51.3 ตามลำดับ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 57.4 และ 56.8 ตามลำดับ น้ำตาล ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 25.8 และ 20.1 ตามลำดับ และ สินค้าอาหาร ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 14.9 และ 5.2 ตามลำดับ ที่สำคัญได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป(ไม่รวมกุ้ง) ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 21.6 และ 13.4 ตามลำดับ กุ้งแช่แข็งและแปรรูป ปริมาณและมูลค่าลดลง ร้อยละ 4.6 และ 0.1 ตามลำดับ และ ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 26.0 และ 19.1 ตามลำดับ
- สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 ปริมาณ ลดลง ร้อยละ 6.0 ตามลำดับ และ อาหารอื่น ๆ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 และ 7.0 ตามลำดับ สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ส่งออกลดลงทุกรายการ ยกเว้น อัญมณีและผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.4 และ 7.0 ตามลำดับ
สินค้าที่ส่งออกลดลงมากกว่าร้อยละ 20 ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ และเลนส์
สินค้าที่ส่งออกลดลงระหว่างร้อยละ 10 — 20 ได้แก่ สิ่งทอ วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องกีฬาและเครื่องเล่นเกมส์ และของเล่น
สินค้าที่ส่งออกลดลงน้อยกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ เครื่องสำอาง และ อาหารสัตว์เลี้ยง
- สินค้าอื่น ๆ ลดลงร้อยละ 34.6 ที่สำคัญและลดลงในอัตราสูงได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ น้ำมันดิบและเครื่องจักรกลและส่วนประกอบลดลงร้อยละ 49.0 21.2 37.6 และ 20.5 ตามลำดับ
ตลาดส่งออก ลดลงต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2551 ทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดหลัก ลดลงถึงร้อยละ 28.2 ขณะที่ตลาดใหม่ลดลงร้อยละ 24.7
ตลาดหลัก ส่งออกลดลงต่อเนื่องในทุกตลาด คือ อาเซียน(5) สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และ ญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 34.8 , 28.4 , 27.7 และ 18.8 ตามลำดับ
ตลาดใหม่ ส่งออกลดลงในทุกตลาด
ตลาดที่ส่งออกลดลงมากกว่าร้อยละ 20 ได้แก่ ไต้หวัน ลาตินอเมริกา จีน อินโดจีน ฮ่องกง อินเดีย เกาหลีใต้ ยุโรปตะวันออก และ แอฟริกา
ตลาดที่ส่งออกลดลงระหว่างร้อยละ 10 — 20 ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา
ตลาดที่ส่งออกลดลงน้อยกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ ตะวันออกกลาง
2. การนำเข้า
การนำเข้า มีมูลค่า 9,118.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 37.6 และเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2551 ลดลงร้อยละ 19.0
สินค้านำเข้า สินค้านำเข้าสำคัญมีการนำเข้าลดลงทุกหมวดสินค้า ดังนี้
(1) สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,262.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 53.4 (สัดส่วนร้อยละ 13.8) สินค้านำเข้าสำคัญได้แก่ น้ำมันดิบ ปริมาณ 19.55 ล้านบาร์เรล (630,651 บาร์เรลต่อวัน) มูลค่า 887.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 21.8 และ 62.7 ตามลำดับ สาเหตุจากความต้องการ ใช้ภายในประเทศปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันดิบปรับลดลง โดยเดือนมกราคม 2552 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 45.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในขณะที่เดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ 98.25 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล หรือลดลงร้อยละ 52.33
(2) สินค้าทุน นำเข้ามูลค่า 3,085.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 29.5 (สัดส่วนร้อยละ 33.8) สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 1,029.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 5.3 เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 706.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลง ร้อยละ 34.9 เนื่องจากการลงทุนชะลอตัว เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 449.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 36.1 เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในตลาดส่งออกสำคัญของไทย
(3) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป นำเข้ามูลค่า 3,420.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 41.9 (สัดส่วนร้อยละ 37.5) การนำเข้าลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในตลาดส่งออก ทำให้การลงทุนชะลอตัว สินค้าที่นำเข้ามาสำหรับการผลิตเพื่อการส่งออกลดลง สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำเข้ามูลค่า 663.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 42.9 เคมีภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 528.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 45.2 เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้าปริมาณ 515.6 พันตัน มูลค่า 533 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 57.8 และ 43.4 ของปริมาณและมูลค่าตามลำดับ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องของเหล็กชะลอการผลิตและการส่งออก เช่น อุตสาหกรรมยานพาหนะและส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ทองคำ นำเข้าปริมาณ 5.3 ตัน มูลค่า 140.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปริมาณลดลงร้อยละ 61.7 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 การนำเข้าทองคำปริมาณลดลงมาก แต่มูลค่าสูงขึ้น เนื่องจากทองคำมีราคาสูงขึ้น
(4) สินค้าอุปโภคบริโภค นำเข้ามูลค่า 988.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 17.9 (สัดส่วนร้อยละ 10.8) การนำเข้ามีมูลค่าลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่าย ใช้สอยมากขึ้น การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่น เครื่องรับวิทยุโทรศัพท์ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เป็นต้น นำเข้ามูลค่า 212.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 23.0 เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด เช่น เครื่องใช้ในครัวและโต๊ะอาหาร กระเป๋า เป็นต้น นำเข้ามูลค่า 169.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 21.6 ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เช่น ยารักษาโรค วิตามิน ฮอร์โมน และฟิล์มที่ใช้ทางเวชกรรม ศัลยกรรม เป็นต้น เป็นสินค้าที่ยังจำเป็นต่อสุขภาพ นำเข้ามูลค่า 151.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9
(5) สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง นำเข้ามูลค่า 350.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 18.7 (สัดส่วนร้อยละ 3.8) การนำเข้าสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งที่สำคัญ ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ นำเข้ามูลค่า 222.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลงร้อยละ 30.9 รถยนต์นั่ง นำเข้ามูลค่า 44.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.8 เนื่องจากการนำเข้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เครื่องยนต์ตั้งแต่ 3,000 cc ขึ้นไปได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้าจาก JTEPA ส่วนประกอบและอุปกรณ์จักรยานยนต์ฯ นำเข้ามูลค่า 31.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 8.6 รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก นำเข้ามูลค่า 46.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0
3. ดุลการค้า
ดุลการค้าเดือนมกราคม 2552 ไทยเกินดุลการค้า 1,377.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับมกราคม 2551 ไทยขาดดุลการค้ามูลค่า 338.7 ล้านเหรียญสหรัฐ 1,225.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนในรูปเงินบาท ไทยเกินดุลการค้ามูลค่า 43,876.2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมกราคม 2551 ไทยขาดดุลการค้ามูลค่า 16,296.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มีนาคม 2552 --จบ--