คณะรัฐมนตรีพิจารณาการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาภายในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. อนุมัติปรับเปลี่ยนโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวให้ครอบคลุมถึงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ
2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ จำนวน 222.5 ล้านบาท โดยในส่วนเงินอุดหนุนที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายจ่ายสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และสำหรับงบประมาณที่ผูกพันถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และ 2554 ขออนุมัติให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
3. อนุมัติหลักการโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และบริษัทประกันเพื่อดำเนินการต่อไป
4. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล จำนวน 190.75 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบกลาง รายจ่ายสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังได้หารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการครอบคลุมถึงผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ และเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการประกันภัยให้กับชาวต่างชาติ จึงขอเสนอ (1) ปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ และ (2) โครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจลโดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ
1.1 หลักการของโครงการที่เสนอขอปรับเปลี่ยน
(1) ชื่อโครงการ : เปลี่ยนชื่อโครงการเป็นโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ
(2) วงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ : ให้คงวงเงินสินเชื่อไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ตามเดิมโดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นผู้ให้สินเชื่อทั้งจำนวน
(3) ระยะเวลาโครงการ : สิ้นสุดเวลาที่ ธพว. จะรับคำขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2552
(4) กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย : ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ทำธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ
(5) วงเงินสินเชื่อต่อราย : เงินกู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนรายละไม่เกิน 5 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ธพว. ในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อต่อราย
(6) อัตราดอกเบี้ย : ธพว. เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้อัตราร้อยละ MLR ลบ 3 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี โดยรัฐบาลให้เงินอุดหนุนเป็นค่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี และตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยตามที่ ธพว. กำหนด
(7) ระยะเวลาการให้กู้ยืม : ระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 5 ปี โดยการกู้โดยมีอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนตามข้อ 6 มีกำหนดไม่เกิน 2 ปี โดยปีแรกจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย ไม่ต้องจ่ายคืนเงินต้น (Grace Period 1 ปี)
(8) หลักประกัน : ผู้ประกอบการที่ต้องการขอสินเชื่อสามารถเลือกใช้หลักประกันตามแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือหลายแนวทางร่วมกันได้ ดังนี้
1) ที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง สิ่งปลูกสร้าง อาคารชุด ห้องชุด เครื่องจักร อุปกรณ์ การรับโอนสิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์ของที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์
2) บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล
3) การค้ำประกันไขว้ (Cross Guarantee) (หมายความว่าผู้ขอสินเชื่อ ตั้งแต่ 2 รายขึ้นไปต้องยื่นขอสินเชื่อพร้อมกันและค้ำประกันให้กันและกัน)
4) ใช้หนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สำหรับกรณีที่ไม่สามารถใช้หลักประกันตามแนวทางที่ 1) — 3) ได้
(9) ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน : กรณีที่ผู้กู้ขอให้ บสย. ค้ำประกันให้ บสย. เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยรัฐบาลจะให้เงินอุดหนุนเป็นค่าส่วนต่างของค่าธรรมเนียมให้กับ บสย. ร้อยละ 1.5 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี
(10) ขั้นตอนการพิจารณา : ผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อยื่นคำขอสินเชื่อโดยตรงต่อ ธพว. และสำเนาให้สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อพิจารณาให้การรับรองว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวหรือผู้ที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว โดย ธพว. จะพิจารณาคำขอสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน
ทั้งนี้ ให้ ธพว. แยกบันทึกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดำเนินงานปกติของ ธพว. (Public Service Account : PSA) โดยให้ ธพว. กำหนดวิธีการปฏิบัติในการให้สินเชื่อตามโครงการฯ ที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้
1.2 กรอบวงเงินงบประมาณที่ขอสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการฯ
(1) เงินอุดหนุนเป็นค่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ของวงเงินสินเชื่อที่ปล่อยจริงแต่ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท เป็นเวลา 2 ปี รวมเป็นเงินงบประมาณไม่เกิน 200 ล้านบาท
(2) เงินอุดหนุนเป็นค่าส่วนต่างของค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้กับ บสย. ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี รวมเป็นเงิน 22.5 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ตามโครงการเดิมแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการที่เสนอปรับเปลี่ยนนี้ ได้กำหนดให้มีการค้ำประกันไขว้ได้ ดังนั้น จึงอาจมีผู้ขอการค้ำประกันจาก บสย. ลดลงจากที่ประมาณการไว้ในคราวแรก เงินอุดหนุนจากรัฐบาลในส่วนนี้ก็จะลดลงไปตามสัดส่วนการค้ำประกันที่เกิดขึ้นจริง
รวมงบประมาณที่ขอรับการอุดหนุนทั้งสิ้น 222.5 ล้านบาท (ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 จำนวน 245 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานฯ) โดยในส่วนเงินอุดหนุนที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายจ่ายสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบวิกฤตด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้ เนื่องจากโครงการนี้กำหนดระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 2 ปี ดังนั้น งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจึงผูกพันถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และ 2554 ด้วย จึงเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
2. โครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล มีมติดังนี้
2.1 หลักการของโครงการ
เนื่องจากบริษัทประกันภัยในต่างประเทศไม่รับประกันภัยให้กับชาวต่างชาติที่จะเดินทางมายังประเทศไทย โดยเฉพาะในกรณีเกิดจลาจล ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชาวต่างชาติ จึงเห็นควรให้รัฐบาลเป็นผู้ซื้อกรมธรรม์จากบริษัทประกันในประเทศไทยเพื่อประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล โดยมีรายละเอียด ดังนี้
(1) ความคุ้มครอง ประกอบด้วย 3 กรณี ได้แก่
1) การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 10,000 เหรียญ สรอ.
2) ค่ารักษาพยาบาล ตามที่จ่ายจริง และหากต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเกินกว่า 10 วันขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชยอีก 1,000 เหรียญ สรอ. แต่รวมแล้วไม่เกิน 10,000 เหรียญ สรอ.
3) ความสูญเสียหรือความเสียหายจากการหยุดชะงักของการเดินทางชดเชยวันละ 100 เหรียญ สรอ. แต่ไม่เกิน 10,000 เหรียญ สรอ.
ทั้งนี้ รวมการคุ้มครองทั้ง 3 กรณีแล้วไม่เกิน 10,000 เหรียญ สรอ. และเมื่อมีการชดเชยความเสียหายตามความคุ้มครองเต็มตามจำนวน 10,000 เหรียญ สรอ. แล้วจะถือว่ากรมธรรม์ประกันภัยสิ้นสุด
(2) ระยะเวลาคุ้มครอง : 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 31 ตุลาคม 2552
(3) เบี้ยประกันภัย : 1 เหรียญ สรอ. ต่อคน โดยมีจำนวนเงินเอาประกันภัย 10,000 เหรียญ สรอ. ต่อคน (สำนักงาน คปภ. ได้หารือกับบริษัทประกันภัยในเบื้องต้นแล้ว)
2.2 กรอบวงเงินงบประมาณที่ขอสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล
คาดว่าในช่วง 6 เดือน (1 พฤษภาคม - 31 ตุลาคม 2552) น่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 5.45 ล้านคน (จากตัวเลขของสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ประมาณการว่าในปี 2552 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 10.9 ล้านคน ดังนั้น ในช่วง 6 เดือนจึงน่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 5.45 ล้านคน) เบี้ยประกันภัยคนละ 1 เหรียญ สรอ. รวมเป็นเงินงบประมาณที่จะขอสนับสนุน ทั้งสิ้น 190.75 ล้านบาท (1 เหรียญ สรอ. เท่ากับ 35 บาท)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 28 เมษายน 2552 --จบ--