คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการขยายระยะเวลาสิ้นสุดการกู้เงินภายใต้ Euro Commercial Paper หรือ ECP Programme จากปี 2552 ต่อไปอีก 10 ปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีเงื่อนไขการกู้เงินและการเบิกจ่ายเงินกู้ ดังนี้
1. การกู้เงินในรูป ECP Programme เป็นการกู้เงินโดยการออกตราสาร ซึ่งมีระยะเวลาการกู้เงินในระหว่าง 7-365 วัน โดยมี
นักลงทุนซึ่งประกอบด้วย ธนาคารกลางประเทศต่างๆ สถาบันการเงิน บริษัทข้ามชาติ และกองทุนต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้
เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการทำ Refinance เงินกู้ต่างประเทศทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ และมีเงื่อนไขการใช้
เงินกู้ ดังนี้
1.1 เพื่อใช้เป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับการทำ Refinance (มาตรา 15 และมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้
สาธารณะ พ.ศ. 2548)
1.1.1 เพื่อใช้เป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับการทำ Refinance เงินกู้ต่างประเทศของภาครัฐบาล โดยกำหนดจะนำมาใช้เป็น
การชั่วคราวก่อนที่จะพิจารณากู้เงินระยะยาวตามความเหมาะสมของภาวะตลาดต่อไป
1.1.2 เพื่อใช้ในการ Refinance เงินกู้ที่มีระยะเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 3 ปี หรือมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1.75 ปี และไม่มี
ความจำเป็นที่จะต้องขยายระยะเงินกู้ดังกล่าวออกไป
1.2 วงเงินสำหรับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแผนการก่อหนี้จากต่างประทศ (มาตรา 22 และมาตรา 25 แห่งพระราช
บัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548)
1.2.1 เป็นโครงการที่ได้รับการบรรจุในแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ
1.2.2 เป็นโครงการที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในโอกาสแรก แต่อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะยาว หรือ
เป็นการใช้เงินในลักษณะ Bridge Financing ก่อนการจัดหาเงินกู้ระยะยาวมาใช้ทดแทนและจะต้องมีระยะการเบิก
จ่ายไม่เกิน 1 ปี
1.2.3 การใช้เงินกู้จาก ECP Programme ตามข้อ 1.2.2 ให้ถือว่าเป็นการกู้เงินตามแผนการก่อหนี้ในวงเงินเดียวกัน ไม่
ต้องนำมานับรวมกับการกู้เงินเพื่อ Refinance
ในกรณีที่มีการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้ ECP Programme มาใช้ในโครงการของรัฐวิสาหกิจให้รัฐวิสาหกิจนั้นๆ กู้เงินดังกล่าวต่อจากกระทรวงการคลังตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังได้ผูกพัน
2. รูปแบบและเงื่อนไขการกู้เงิน ดังนี้
ผู้กู้ (ผู้ออกตราสาร ECP) : กระทรวงการคลังในนามราชอาณาจักรไทย คณะผู้จัดจำหน่าย : จำนวน 8 ราย คือ ABN AMRO Bank N.V.,Barclays Bank plc, Citibank Internationalplc, Daiwa Securities SMBC Co.Ltd.,Deutsche Bank AG London,Nomura
International plc, Standard Chartered Bank และ The Bank of Tokyo-Mitsubishi
UFJ,Ltd. ระยะเวลาการทำหน้าที่ Dealer : 10 ปี แต่ทั้งสองฝ่ายสามารถขอยกเลิกได้ โดยมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน
วงเงิน : 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเงินกู้ : อย่างน้อย 7 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน การเบิกจ่ายเงินกู้ : จะอยู่ในรูปแบบตราสาร ECP โดยผู้กู้มีสิทธิที่จะขอเบิกจ่ายเงินกู้ในสกุลดอลลาร์สหรัฐหรือสกุลอื่นที่หมุนเวียนในตลาดยูโร อาทิ สกุลเงินเยน ปอนด์สเตอร์ลิง และยูโร ซึ่งรวมทั้งการทำ Swap
การกำหนดอัตราดอกเบี้ย : กำหนดตามอัตรา LIBOR (London Inter Bank Offered Rate) และบวกหรือลบด้วยส่วนต่าง(Spread) ซึ่งจะเป็นไปตามภาวะตลาดและระดับเครดิตของประเทศในช่วงจัดจำหน่าย ค่าธรรมเนียมตัวแทนรับจ่ายเงิน : ปีละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ บวกค่าธรรมเนียมการออกพันธบัตร 50 ดอลลาร์สหรัฐ
ต่อการออกตราสาร 1 ฉบับ
ภาระภาษี : ผู้กู้เป็นผู้รับภาระค่าภาษีที่เกิดขึ้นเนื่องจากการชำระเงินใดๆ ภายใต้ ECP Programme รายนี้ (ขณะนี้ไม่มี) ค่าวิเคราะห์เครดิต : เป็นไปตามอัตรามาตรฐานที่จะตกลงกับบริษัทวิเคราะห์เครดิตแต่ละราย โดย S&P คิดเหมาจ่ายรวมกับค่าวิเคราะห์เครดิตของประเทศ สำหรับ Moody’s คิดค่าวิเคราะห์เครดิต 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ
กฎหมายที่ใช้บังคับ : กฎหมายอังกฤษ เงื่อนไขอื่น ๆ : เป็นไปตามสัญญามาตรฐานการกู้เงินในรูป ECPกระทรวงการคลังรายงานว่า
1. การจัดตั้ง ECP Programme เป็นการกู้เงินภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โดยให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อ 1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2) พัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคม 3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ 4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ และ 5) พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งนี้ ให้กระทรวง
การคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทั้งนี้ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
สาธารณะให้กระทำได้เฉพาะเพื่อเป็นการประหยัด ลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน หรือกระจายภาระการชำระหนี้
2. ตั้งแต่กระทรวงการคลังได้จัดตั้ง ECP Programme เมื่อกลางปี 2532 เป็นต้นมา ได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้เป็นเงินรวมเทียบเท่า
16,038 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยถ้านับตั้งแต่ที่ได้ต่ออายุโปรแกรมเมื่อปี 2542 จนถึงปัจจุบัน (มีนาคม 2552) ได้มีการเบิกจ่ายเงิน
กู้เป็นเงิน 14,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้กระทรวงการคลังได้ใช้เงินกู้ ECP ส่วนหนึ่งเพื่อ Refinance เงินกู้เดิม
ของกระทรวงการคลัง และอีกส่วนหนึ่งให้รัฐวิสาหกิจต่างๆ กู้ต่อตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น
3. การกู้เงินในรูป ECP โดยปกติจะมีต้นทุนการกู้เงินต่ำกว่าการกู้เงินในรูป Syndication และตราสารหนี้รูปแบบอื่น เนื่องจากเป็น
การกู้ระยะสั้นโดยตรงจากนักลงทุน และมีระยะเงินกู้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน ในขณะเดียวกันผู้ออกตราสารก็สามารถ
เลือกระยะเงินกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการระยะสั้นของตนเองได้ นอกจากนั้น ภายใต้ ECP Programme ที่จัดตั้ง กระทรวงการ
คลังสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ ชำระคืนและเบิกจ่ายเงินกู้ใหม่ได้ตลอดเวลา แต่ ณ ขณะหนึ่งๆ วงเงินกู้รวมกันจะต้องไม่เกินวงเงินที่
กำหนด คือ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การจัดตั้ง ECP Programme จึงมีประโยชน์ในแง่ความคล่องตัวในการเข้าตลาด ซึ่งจะช่วย
ให้สามารถดำเนินการบริหารหนี้ต่างประเทศของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายที่กำหนด
4. เนื่องจากการกู้เงินภายใต้ ECP Programme จะสิ้นสุดลงในวันที่ 22 มิถุนายน 2552 เพื่อให้รองรับการทำ Refinance เงินกู้
ต่างประเทศของภาครัฐบาล และ/หรือใช้เป็น Bridge Financing สำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ
ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในช่วงที่ภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังจะใช้เงินกู้ ECP เป็น
Facility ตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดมาโดยตลอด และกระทรวงการคลังมีแผนบริหารหนี้ต่างประเทศเพื่อลดต้นทุนและปรับโครง
สร้างหนี้ เพื่อไม่ให้ภาระหนี้ตกหนักอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่ง ซึ่งการดำเนินการจะใช้เงิน ECP เป็น Bridge Financing เพื่อชำระ
คืนเงินกู้ก่อนครบกำหนดก่อนที่จะดำเนินการกู้เงินใหม่มาทดแทน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องมี Facility เพื่อการนี้ต่อไป
ประกอบกับประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องระดมเงินกู้จากตลาดเงินต่างประเทศเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึง
เห็นสมควรขยายระยะเวลาสิ้นสุดเงินกู้ ECP Programme จากปี 2552 ต่อไปอีก 10 ปี
5. ทั้งนี้ การกู้เงินจาก ECP Programme ไม่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 190 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากการกู้เงิน
ดังกล่าวเป็นกรณีการทำหนังสือสัญญาเงินกู้ระหว่างรัฐบาลไทยกับสถาบันการเงินเอกชนระหว่างประเทศ ไม่ใช่เป็นการทำหนังสือ
สัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การระหว่างประเทศหรือรัฐบาลต่างประเทศ ดังนั้นจึงไม่ต้องนำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจาก
รัฐสภา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 มิถุนายน 2552 --จบ--