ปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 23, 2009 15:33 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมติคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติและความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)ตามที่ ทส.เสนอดังนี้

1. เห็นชอบให้ปี 2553 เป็นปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย

2. เห็นชอบต่อแผนปฏิบัติการปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ และให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานในสังกัด สามารถดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว

สาระสำคัญของเรื่อง

ทส.รายงานว่า

1. การประชุมสุดยอดโลกว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน ณ นครโยฮันเนสเบอร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เมื่อปี คศ. 2002 ได้ให้การรับรองเป้าหมายความหลากหลายทางชีวภาพปี ค.ศ. 2010 ในการลดอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพลงอย่างมีนัยสำคัญภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) และองค์การสหประชาชาติได้มีมติประกาศให้ ปี ค.ศ. 2010 เป็นปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ได้ขอความร่วมมือภาคีอนุสัญญาฯ รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดกิจกรรมในปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ค.ศ. 2010 ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในลำดับที่ 188 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547

2. ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ ความมั่นคงทางอาหาร การแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนา แต่การพัฒนาโดยไม่คำนึงถึงขีดจำกัดและศักยภาพในการฟื้นตัวของทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเหตุให้มีการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง และเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเร่งหยุดยั้ง ประเทศไทยเป็นแหล่งรวมของกลุ่มพรรณพฤกษชาติภูมิภาคอินเดีย-พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและภูมิภาคมาเลเซีย จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก ประมาณว่ามีพืชอย่างน้อย 12,000 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 302 ชนิด นกอย่างน้อย 982 ชนิด ปลาน้ำจืดและปลาทะเลอย่างน้อย 720 และ 2,100 ชนิด ตามลำดับ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 10 ของชนิดพันธุ์ปลาของโลก แต่ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีสาเหตุสำคัญคือ การใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพเกินศักยภาพของระบบนิเวศ เพราะประชาชนมีความตระหนักในเรื่องคุณค่าและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพน้อย ขาดการประชาสัมพันธ์ การให้การศึกษาและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและเพียงพอ

3. ในปี 2553 สำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ได้กำหนดให้มีการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 10 ณ เมืองนาโงยา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการประชุมที่มีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นการประเมินผลสำเร็จในการดำเนินงานของอนุสัญญาฯ และผลการดำเนินงานตามเป้าหมายการประชุมสุดยอดโลกว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน ณ นครโยฮันเนสเบอร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งได้จัดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 2002 โดยที่ประชุมได้กำหนดให้มีการลดอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพลงอย่างมีนัยสำคัญ ภายในปี ค.ศ. 2010

4. คณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน และคณะกรรมการฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิได้มีมติในคราวการประชุมครั้งที่ 3/2550 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2550 และในคราวการประชุมครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2552 ดังนี้

4.1 เห็นควรประกาศให้ปี 2553 เป็นปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ปี ค.ศ. 2010 หรือ พ.ศ. 2553 เป็นปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อกระตุ้นให้ประชากรทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพตระหนักในคุณค่าความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ และให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ประเทศไทยจึงควรใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมเพื่อแสดงผลการดำเนินงานการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ซึ่งเป็นการเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ

4.2 เห็นชอบในแผนปฏิบัติการปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่ ครอบคลุมการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวประกอบด้วย แนวทางการปฏิบัติ ตัวชี้วัดและหน่วยงานรับผิดชอบ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ สามารถดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวได้

5. ในโอกาสที่องค์การสหประชาชาติประกาศให้ปี 2553 เป็นปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถดำเนินกิจกรรม/โครงการตามแผนปฏิบัติการปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างพร้อมเพรียง จึงเห็นควรให้กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจัดสรรงบกลางของกระทรวงให้แก่หน่วยงานในสังกัดให้สามารถดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 22 ธันวาคม 2552 --จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ