คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานเป้าหมายการส่งออกปี 2550 ดังนี้
1. การส่งออกปี 2549 คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 129,090 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3
2. การส่งออกปี 2550 จะยังขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2549 แต่อัตราการขยายตัวจะชะลอลง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายให้การส่งออกในปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 12.5 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 145,220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 13.8 สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าอาหาร(อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป กุ้งแช่แข็งและแปรรูป ไก่แช่แข็งและแปรรูป ผักและผลไม้สดแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป) และ น้ำตาล
- สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 68.2 สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อัญมณี วัสดุก่อสร้าง สิ่งพิมพ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ และ ของเล่น เป็นต้น
3. ปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออก
- แนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและการค้าของโลกและตลาดส่งออกสำคัญ แม้ว่าจะมีการชะลอตัวลงจากปี 2549 บ้างก็ตาม
- ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการดำเนินมาตรการเชิงรุกในการเจาะและขยายตลาดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดใหม่ ที่สำคัญคือ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา (กานา แอฟริกาใต้ เซเนกัล และ ไนจีเรีย)
- ความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศยังมีอยู่มากทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่
4. ปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบด้านลบต่อการส่งออก
- ทิศทางและแนวโน้มของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่จะสูงขึ้น
- เศรษฐกิจและการค้าของโลกและตลาดส่งออกสำคัญที่เริ่มมีการส่งสัญญาณว่าอาจจะชะลอตัวลงมากกว่าที่ได้มีการประมาณการไว้เดิม
- ทิศทางและแนวโน้มของค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไป
- ปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางและปัญหาการก่อการร้ายระหว่างประเทศ
- การเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีในตลาดส่งออกหลัก โดยเฉพาะ สหรัฐฯและสหภาพยุโรป
5. ปัญหาเร่งด่วนของการส่งออก
ปัญหาภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุน ได้แก่ ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าสูงมาก การขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการเพิ่มขึ้นของค่าแรงงาน ปัญหาราคาวัตถุดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งการขาดแคลนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ ปลาทูนา อาหารสัตว์ ไม้ และ อัญมณี เป็นต้น
6. กลยุทธ์และแผนส่งเสริมการส่งออก
1) ใช้การเจรจาการค้าเพื่อเปิดตลาดและแก้ไขปัญหากีดกันทางการค้าที่เกิดขึ้น
2) ส่งเสริมการส่งออกเพื่อรักษาตลาดหลักไม่ให้การส่งออกลดลง โดยวางแผนให้มีการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดหลักไม่น้อยกว่าปี 2549
3) เร่งส่งเสริมการส่งออกเป็นกรณีพิเศษในตลาดใหม่ ๆ บางกลุ่ม ซึ่งผู้บริโภคนิยมสินค้าไทยและให้คุณค่ามากกว่าสินค้าจากประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา (กานา แอฟริกาใต้ เซเนกัล และ ไนจีเรีย) โดยจัดในรูป Consumer Sales Promotion
4) ส่งเสริมธุรกิจบริการใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากธุรกิจบริการที่ส่งเสริมเดิมคือ การศึกษา สปา โรงพยาบาล ร้านอาหารไทย ธุรกิจบริการใหม่ ๆ ได้แก่ แฟรนส์ไชส์ ธุรกิจที่ปรึกษา ออกแบบตกแต่งภายใน การพิมพ์ อู่ซ่อมรถ การให้บริการเทคโนโลยีการเกษตร และ ธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งผู้บริโภคในต่างประเทศ (Tailor Made)
5) วางรากฐานการส่งออก ในระยะกลาง/ยาว
5.1 เพิ่มผู้ส่งออกให้มากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาค จะมุ่งสร้างและพัฒนาผู้ส่งออกรายใหม่ ๆ ให้เพิ่มขึ้นทั้งในระดับภูมิภาคและจังหวัดให้สามารถส่งออกได้ โดยการ ฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น ความรู้เบื้องต้นในการส่งออก การบริหารจัดการ กลยุทธ์การเจาะตลาด ช่องทางการตลาด รวมทั้งการพาไปเจาะตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายจะสร้างผู้ส่งออกรายใหม่ในภูมิภาคไม่ต่ำกว่า 500 ราย
5.2 พัฒนาความเป็นสากลของผู้ประกอบการ (Internationalization) โดยส่งเสริมและผลักดันให้ภาคเอกชนและผู้ส่งออกไปลงทุนและดำเนินธุรกิจในต่างประเทศให้มากขึ้น ทั้งในเรื่อง การลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้า การทำ Contract Farming การเปิดสาขา หาตัวแทนและหุ้นส่วนในต่างประเทศ เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจไทยในต่างประเทศ แสวงหาแหล่งวัตถุดิบ รวมทั้งสร้างตราสินค้าไทย (Brand Name) ให้มากขึ้น
6) สนับสนุนการลดต้นทุนในระบบ Trade Logistics โดยดำเนินการพัฒนาระบบ e-Logistic เพื่อไปสู่การให้บริการแบบ Electronic Certification รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนา Trade Logistic Provider (TLP) ในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านปริมาณและประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยเฉพาะ ธุรกิจการขนส่งทั้งทางบกและทางเรือ ธุรกิจ Freight Forwarder การให้บริการคลังสินค้าและประกันภัย เป็นต้น
7) ร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคของการส่งออก ที่สำคัญได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน การกีดกันทางการค้า กฎระเบียบ ขั้นตอนการดำเนินการภายในประเทศ เป็นต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 19 ธันวาคม 2549--จบ--
1. การส่งออกปี 2549 คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 129,090 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3
2. การส่งออกปี 2550 จะยังขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2549 แต่อัตราการขยายตัวจะชะลอลง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายให้การส่งออกในปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 12.5 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 145,220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 13.8 สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าอาหาร(อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป กุ้งแช่แข็งและแปรรูป ไก่แช่แข็งและแปรรูป ผักและผลไม้สดแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป) และ น้ำตาล
- สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 68.2 สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อัญมณี วัสดุก่อสร้าง สิ่งพิมพ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ และ ของเล่น เป็นต้น
3. ปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออก
- แนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและการค้าของโลกและตลาดส่งออกสำคัญ แม้ว่าจะมีการชะลอตัวลงจากปี 2549 บ้างก็ตาม
- ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการดำเนินมาตรการเชิงรุกในการเจาะและขยายตลาดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดใหม่ ที่สำคัญคือ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา (กานา แอฟริกาใต้ เซเนกัล และ ไนจีเรีย)
- ความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศยังมีอยู่มากทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่
4. ปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบด้านลบต่อการส่งออก
- ทิศทางและแนวโน้มของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่จะสูงขึ้น
- เศรษฐกิจและการค้าของโลกและตลาดส่งออกสำคัญที่เริ่มมีการส่งสัญญาณว่าอาจจะชะลอตัวลงมากกว่าที่ได้มีการประมาณการไว้เดิม
- ทิศทางและแนวโน้มของค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไป
- ปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางและปัญหาการก่อการร้ายระหว่างประเทศ
- การเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีในตลาดส่งออกหลัก โดยเฉพาะ สหรัฐฯและสหภาพยุโรป
5. ปัญหาเร่งด่วนของการส่งออก
ปัญหาภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุน ได้แก่ ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าสูงมาก การขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการเพิ่มขึ้นของค่าแรงงาน ปัญหาราคาวัตถุดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งการขาดแคลนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ ปลาทูนา อาหารสัตว์ ไม้ และ อัญมณี เป็นต้น
6. กลยุทธ์และแผนส่งเสริมการส่งออก
1) ใช้การเจรจาการค้าเพื่อเปิดตลาดและแก้ไขปัญหากีดกันทางการค้าที่เกิดขึ้น
2) ส่งเสริมการส่งออกเพื่อรักษาตลาดหลักไม่ให้การส่งออกลดลง โดยวางแผนให้มีการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดหลักไม่น้อยกว่าปี 2549
3) เร่งส่งเสริมการส่งออกเป็นกรณีพิเศษในตลาดใหม่ ๆ บางกลุ่ม ซึ่งผู้บริโภคนิยมสินค้าไทยและให้คุณค่ามากกว่าสินค้าจากประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา (กานา แอฟริกาใต้ เซเนกัล และ ไนจีเรีย) โดยจัดในรูป Consumer Sales Promotion
4) ส่งเสริมธุรกิจบริการใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากธุรกิจบริการที่ส่งเสริมเดิมคือ การศึกษา สปา โรงพยาบาล ร้านอาหารไทย ธุรกิจบริการใหม่ ๆ ได้แก่ แฟรนส์ไชส์ ธุรกิจที่ปรึกษา ออกแบบตกแต่งภายใน การพิมพ์ อู่ซ่อมรถ การให้บริการเทคโนโลยีการเกษตร และ ธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งผู้บริโภคในต่างประเทศ (Tailor Made)
5) วางรากฐานการส่งออก ในระยะกลาง/ยาว
5.1 เพิ่มผู้ส่งออกให้มากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาค จะมุ่งสร้างและพัฒนาผู้ส่งออกรายใหม่ ๆ ให้เพิ่มขึ้นทั้งในระดับภูมิภาคและจังหวัดให้สามารถส่งออกได้ โดยการ ฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น ความรู้เบื้องต้นในการส่งออก การบริหารจัดการ กลยุทธ์การเจาะตลาด ช่องทางการตลาด รวมทั้งการพาไปเจาะตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายจะสร้างผู้ส่งออกรายใหม่ในภูมิภาคไม่ต่ำกว่า 500 ราย
5.2 พัฒนาความเป็นสากลของผู้ประกอบการ (Internationalization) โดยส่งเสริมและผลักดันให้ภาคเอกชนและผู้ส่งออกไปลงทุนและดำเนินธุรกิจในต่างประเทศให้มากขึ้น ทั้งในเรื่อง การลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้า การทำ Contract Farming การเปิดสาขา หาตัวแทนและหุ้นส่วนในต่างประเทศ เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจไทยในต่างประเทศ แสวงหาแหล่งวัตถุดิบ รวมทั้งสร้างตราสินค้าไทย (Brand Name) ให้มากขึ้น
6) สนับสนุนการลดต้นทุนในระบบ Trade Logistics โดยดำเนินการพัฒนาระบบ e-Logistic เพื่อไปสู่การให้บริการแบบ Electronic Certification รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนา Trade Logistic Provider (TLP) ในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านปริมาณและประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยเฉพาะ ธุรกิจการขนส่งทั้งทางบกและทางเรือ ธุรกิจ Freight Forwarder การให้บริการคลังสินค้าและประกันภัย เป็นต้น
7) ร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคของการส่งออก ที่สำคัญได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน การกีดกันทางการค้า กฎระเบียบ ขั้นตอนการดำเนินการภายในประเทศ เป็นต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 19 ธันวาคม 2549--จบ--