คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลสรุปสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตรปี 2553 ครั้งที่ 16 ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2553 ประกอบด้วย สถานการณ์น้ำ และการดำเนินการตามแผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตรปี 2553 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้
สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2553
1. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ
สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ (7 มิถุนายน 2553) มีปริมาณน้ำทั้งหมด 34,691 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 47 ของความจุอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งหมด (ปริมาณน้ำใช้การได้ 10,846 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 15 ของความจุอ่างฯ)น้อยกว่าปี 2552 (41,066 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 56) จำนวน 6,375 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 9 ของความจุอ่างฯ สามารถรับน้ำได้อีก 38,864 ล้านลูกบาศก์เมตร
สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (7 มิถุนายน 2553) มีปริมาณน้ำทั้งหมด 33,074 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 48 ของความจุอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งหมด (ปริมาณน้ำใช้การได้ 9,547 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 14 ของความจุอ่างฯ) น้อยกว่าปี 2552 (38,645 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 56) จำนวน 5,571 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 14 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ จำนวน 39.2 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบาย 75.6 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถรับน้ำได้อีก 36,521 ล้านลูกบาศก์เมตร
สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ และป่าสักชลสิทธิ์
หน่วย : ล้าน ลบ.ม.
อ่างเก็บน้ำ ปริมาตรน้ำ ปริมาตรน้ำ ปริมาตรน้ำใช้การได้ ปริมาตรน้ำไหลลงอ่างฯ ปริมาณน้ำระบาย ปริมาณน้ำรับได้อีก ในอ่างฯ ปี52 ในอ่างฯ ปี53 ปริมาตรน้ำ % ปริมาตรน้ำ % ปริมาตรน้ำ % วันนี้ เมื่อวาน วันนี้ เมื่อวาน ภูมิพล 5,482 41 4,248 32 448 3 0 0 10 10 9,214 สิริกิติ์ 4,245 45 3,391 36 541 6 3.67 3.69 10.05 10.09 6,119 ภูมิพล+สิริกิติ์ 9,727 43 7,639 33 989 4 3.67 3.69 20.05 20.09 15,333 ป่าสักชลสิทธิ์ 348 36 88 9 85 9 1.23 0.4 1.07 1.07 872
อ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยกว่าร้อยละ 30 ของความจุอ่างฯ จำนวน 12 อ่าง ได้แก่ แม่งัด(27) แม่กวง(14) แควน้อย(16) ห้วยหลวง(24) น้ำอูน(25) อุบลรัตน์(25) มูลบน(25) ป่าสักฯ(9) ทับเสลา(16) กระเสียว(29) ขุนด่านฯ(9) และคลองสียัด(18)
สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำภาคตะวันออก
จังหวัดชลบุรี มีอ่างเก็บน้ำ 7 อ่าง รวมปริมาณน้ำ 74.8 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 42 ของความจุอ่างฯ (น้อยกว่าปี 2552 จำนวน 12.6 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 7) ปริมาณน้ำใช้การได้ 60 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 34 ของความจุอ่างฯ
จังหวัดระยอง มีอ่างเก็บน้ำ 4 แห่ง รวมปริมาณน้ำ 326.8 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 62 ของความจุอ่างฯ (น้อยกว่าปี 2552 จำนวน 52.9 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 11) ปริมาณน้ำใช้การได้ 298 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 57 ของความจุอ่างฯ
2. สภาพน้ำท่า
ภาคเหนือ แม่น้ำปิง ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย ยกเว้นบริเวณสถานี P.1 สะพานนวรัฐ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์ปกติ แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม่น้ำมูล ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย
ภาคกลาง แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำป่าสัก ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย
ภาคใต้ แม่น้ำท่าตะเภา แม่น้ำตาปี แม่น้ำโก-ลก ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย
3. คุณภาพน้ำ
กรมชลประทาน ติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ดังนี้
แม่น้ำ จุดเฝ้าระวัง ข้อมูลวันที่ ค่า DO(mg/l) ค่า Sal (g/l) เกณฑ์ ค่าสูงสุด เวลา เจ้าพระยา ท่าน้ำจังหวัดนนทบุรี 29 พ.ค. 53 1.34 1.08 14 ค่า DO ต่ำกว่าเกณฑ์ค่า Sal สูงกว่าเกณฑ์ เจ้าพระยา ปากเกร็ด* 7 มิ.ย. 53 - 0.51 06.00 น. ปกติ จังหวัดนนทบุรี ปากคลองสำแล * 7 มิ.ย. 53 - 0.13 06.00 น. ปกติ จังหวัดปทุมธานี ท่าจีน ที่ว่าการอำเภอสามพราน 6 พ.ค. 53 1.21 0.13 - ค่า DO ต่ำกว่าเกณฑ์ จังหวัดนครปฐม แม่กลอง ปากคลองดำเนินสะดวก 21 พ.ค. 53 4.19 0.1 00.10 น. ปกติ จังหวัดราชบุรี
หมายเหตุ * หมายถึง สถานีวัดค่าอัตโนมัติ
ค่า Do หมายถึง ค่าออกซิเจนละลายในน้ำ ไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิกรัม/ลิตร
ค่า Sal หมายถึง ค่าความเค็มของน้ำ สำหรับการเกษตรไม่เกิน 2 กรัม/ลิตร
สำหรับการแก้ไขปัญหาความเค็มของน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปาของการประปานครหลวงในช่วงน้ำทะเลหนุนสูง กรมชลประทานจะเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แล้วระบายน้ำลงแม่น้ำเจ้าพระยาที่เขื่อนพระรามหก รวมทั้งส่งน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองผ่านคลองจระเข้สามพัน คลองสองพี่น้องลงแม่น้ำท่าจีนและสูบน้ำผ่านคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมลลงแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งการประปานครหลวงได้เพิ่มการรับน้ำเข้าคลองประปาจากเขื่อนแม่กลองแล้วระบายลงคลองมหาสวัสดิ์ลงแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อช่วยดันนำเค็มและเจือจางน้ำเค็มให้สามารถใช้น้ำผลิตน้ำประปาได้ โดยในเดือนมิถุนายน 2553 ช่วงน้ำทะเลหนุนสูง ระหว่างวันที่ 12 -19 มิถุนายน 2553
การดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อเนื่อง ตามแผนเตรียมสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร
1. แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเลื่อนการทำนาปีในเขตโครงการชลประทานทุกโครงการที่รับน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์จากปกติเดือนพฤษภาคมเป็นประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2553
2. การปฏิบัติการฝนหลวง ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภาค เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้งปี 2553 ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2553 เป็นต้นมา จำนวน 5 ศูนย์ ประจำภาคต่างๆ และได้ส่งเครื่องบิน จำนวน 21 ลำ ไปตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงแล้ว จำนวน 11 หน่วย ได้แก่ หน่วยเชียงใหม่พิษณุโลก ลพบุรี กาญจนบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ระยอง จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) และสุราษฎร์ธานี และฐานเติมสารฝนหลวง จำนวน 5 ฐาน ได้แก่ จังหวัดตาก นครสวรรค์สระแก้ว ราชบุรี นครศรีธรรมราช ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ได้ย้ายฐานฝนหลวงจากจังหวัดสุราษฏร์ธานีไปประจำอยู่ที่จังหวัดแพร่ เพื่อเติมน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ และย้ายฐานปฏิบัติการฝนหลวง จังหวัดจันทบุรี ไปอยู่ที่จังหวัดตาก เพื่อเติมน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล
ผลการปฏิบัติการฝนหลวงประจำสัปดาห์ ช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม — 3 มิถุนายน 2553 ขึ้นปฏิบัติการ จำนวน 178 เที่ยวบิน มีจังหวัดที่มีรายงานฝนตก 54 จังหวัด วัดปริมาณน้ำฝนสูงสุดได้ 117.0 มิลลิเมตร ที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
ผลการปฏิบัติการฝนหลวงสะสม ช่วงวันที่ 25 มกราคม — 3 มิถุนายน 2553 ขึ้นปฏิบัติการรวม 97 วัน จำนวน 2,557 เที่ยวบิน มีรายงานฝนตกในปฏิบัติการ รวม 86 วัน จำนวน 611 สถานี วัดปริมาณน้ำฝนรายวันสูงสุดได้ 250.0 มิลลิเมตร จังหวัดที่มีรายงานฝนตกรวม 63 จังหวัด จากจำนวนจังหวัดที่อยู่ในเป้าหมายทั้งหมด 63 จังหวัด รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2
3. สนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือการปลูกพืชฤดูแล้ง การอุปโภค-บริโภคทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่เขตชลประทานและนอกพื้นที่เขตชลประทาน จำนวน 849 เครื่อง (เตรียมการไว้ 1,200 เครื่อง) ในพื้นที่ 46 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 16 จังหวัด จำนวน 277 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด จำนวน 249 เครื่อง ภาคกลาง 6 จังหวัด จำนวน 157 เครื่อง ภาคตะวันออก 5 จังหวัด จำนวน 84 เครื่อง และภาคใต้ 9 จังหวัด จำนวน 82 เครื่อง
4. สนับสนุนรถบรรทุกน้ำ เพื่อช่วยเหลือการอุปโภค-บริโภคและการเกษตร จำนวน 33 คัน 3,628 เที่ยว ปริมาณน้ำ 21,768,000 ลิตร ในพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิจิตร มหาสารคาม สุรินทร์ เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ระยอง ตราด พังงา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี
5. การสนับสนุนเสบียงสัตว์
ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 สนับสนุนแล้ว 171.62 ตัน จากที่สำรองไว้เพื่อช่วยเหลือภัยธรรมชาติ จำนวน 4,720 ตัน
6. การประเมินความเสียหายเบื้องต้น
ด้านพืช ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2553
พื้นที่การเกษตรประสบภัยทั้งสิ้น 42 จังหวัด จำนวน 2,016,509 ไร่ แบ่งเป็น
ช่วงที่ 1 (วันที่ 15 ธ.ค.52 ถึง 31 ม.ค.53) จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ สุโขทัย คาดว่าจะเสียหาย 113,860 ไร่
ช่วงที่ 2 (วันที่ 1 ก.พ. ถึง 21 พ.ค. 53) จำนวน 42 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน แพร่ พะเยา พิจิตร ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ มุกดาหาร ยโสธร เลย ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนครอุบลราชธานี อำนาจเจริญ อุดรธานี สระบุรี ชัยนาท กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ ระนอง ตรัง สตูล นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี คาดว่าจะเสียหาย 1,902,649 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 159,249 ไร่ พืชไร่ 1,313,819 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 429,581 ไร่
ด้านปศุสัตว์ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2553
พื้นที่ประสบภัย 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน ลำปาง น่าน สุโขทัย อุทัยธานี มุกดาหาร ตราด เพชรบุรี ชุมพร และตรัง เกษตรกร 1,325 ราย สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ 13,165 ตัว แบ่งเป็น โค 11,956 ตัว กระบือ 366 ตัว แพะ 843 ตัว แปลงหญ้า 228 ไร่
ด้านประมง ไม่มีรายงานพื้นที่ได้รับผลกระทบ
หลังเกิดภัย
การช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเป็นเงิน
ช่วงที่ 1 ช่วงภัย วันที่ 15 ธ.ค. 52 ถึง 31 ม.ค. 53 สำรวจแล้วมีพื้นที่เสียหายเพียง 2 จังหวัด คือ จังหวัดจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน เกษตรกร 4,131 ราย พื้นที่เสียหาย 23,577 ไร่ เป็นเงิน 19,771,224 ล้านบาท ช่วยเหลือเสร็จสิ้นแล้ว
ช่วงที่ 2 ช่วงภัย วันที่ 1 ก.พ. ถึง 21 พ.ค. 53
- สำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วและอยู่ระหว่างให้ความช่วยเหลือ 13 จังหวัด เกษตรกร 29,040 ราย พื้นที่ 117,336 ไร่ (จากพื้นที่ที่คาดว่าจะเสียหาย 482,493 ไร่) วงเงิน 93,319,603 บาท แบ่งเป็น
- งบจากท้องถิ่น 1 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 108,434 บาท
- เงินทดรองราชการในอำนาจนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัด คือ จังหวัดแพร่ ลำปาง นครพนม กระบี่ ตรัง จำนวน 3,902,981 บาท
- อยู่ระหว่างของบกลาง 1 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย จำนวน 13,512,041 บาท
- อยู่ระหว่างรอเอกสารเพื่อจะของบกลาง 6 จังหวัด คือ จังหวัดอุตรดิตถ์ อุทัยธานี หนองคาย ร้อยเอ็ด เลย กาญจนบุรี จำนวน 75,796,148 บาท
- อยู่ระหว่างดำเนินการสำรวจความเสียหาย 26 จังหวัด ได้แก่ ตาก พะเยา พิจิตร น่าน สุโขทัยกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์ มุกดาหาร ยโสธร ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู สกลนคร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ อุดรธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง สตูล สุราษฎร์ธานี และตรัง
- ไม่มีพื้นที่การเกษตรเสียหาย 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรี
ส่วนด้านปศุสัตว์และด้านประมง ไม่เกิดความเสียหาย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 มิถุนายน 2553--จบ--