ควบคุม ดูแลผู้ประกอบวิชาชีพ เพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิกและประโยชน์สาธารณะหรือประชาชนเป็นสำคัญ และองค์กรอื่นตามที่คณะกรรมการสรรหากำหนด(๕) องค์กรภาคอื่น ๆ หมายความถึง องค์กรอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ตาม (๑) (๒)(๓) และ (๔) ที่รวมกันเปน็ สมาคม สมาพันธ์ สหภาพ สหกรณ์ มูลนิธิ หรือสถาบัน เพื่อประโยชน์แก่องค์กรที่เป็นสมาชิกหรือประโยชน์สาธารณะหรือประชาชน และองค์กรอื่นตามที่คณะกรรมการสรรหากำหนดองค์กรตามวรรคสอง (๓) และ (๕) ต้องได้รับการจัดตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีและดำเนินกิจกรรม รวมทั้งมีผลการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่จัดตั้งองค์กรอย่างต่อเนื่องนับแต่จัดตั้งองค์กรให้คณะกรรมการสรรหามีอำนาจกำหนดคุณสมบัติที่จำเป็นเฉพาะขององค์กรตามวรรคสองเพื่อให้มีความชัดเจนในการใช้สิทธิขององค์กรในการลงทะเบียน เพื่อเสนอรายชื่อบุคคลเข้ารับการเสนอรายชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้โดยถูกต้อง โดยคำนึงถึงลักษณะขององค์กรที่มีการดำเนินการในขณะที่จะมีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภามาตรา ๑๒๕ องค์กรตามมาตรา ๑๒๔ ที่ประสงค์จะลงทะเบียนเป็นองค์กรภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ เพื่อมีสิทธิเสนอรายชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ให้ยื่นคำขอลงทะเบียน พร้อมหลักฐานตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือบุคคลหรือคณะบุคคลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมาย ภายในระยะเวลาและสถานที่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดมาตรา ๑๒๖ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือบุคคลหรือคณะบุคคลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมาย ตรวจสอบคุณสมบัติองค์กรที่ยื่นคำขอลงทะเบียนเป็นองค์กรภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ และประกาศรายชื่อองค์กรเป็นรายภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จภายในห้าวันนับแต่วันที่กำหนดให้มีการลงทะเบียนแล้วเสร็จตามมาตรา ๑๒๓ วรรคสองมาตรา ๑๒๗ องค์กรใดที่ยื่นลงทะเบียนตามมาตรา ๑๒๕ แต่ไม่ปรากฏชื่อในประกาศตามมาตรา ๑๒๖ ให้มีสิทธิยื่นคำร้องการประกาศรายชื่อองค์กรต่อศาลฎีกาภายในสามวันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อองค์กร และให้นำความในมาตรา ๔๐ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลมมาตรา ๑๒๘ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือบุคคลหรือคณะบุคคลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายจัดประชุมผู้แทนองค์กรที่ได้รับการประกาศรายชื่อตามมาตรา ๑๒๖ แต่ละภาค เพื่อเสนอบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อองค์กร พร้อมด้วยหลักฐานตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดโดยมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้(๑) ให้แต่ละองค์กรมีสิทธิเสนอชื่อบุคคลที่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกองค์กรหรือปฏิบัติหน้าที่ในองค์กร และสมควรได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาองค์กรละหนึ่งคน โดยต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งไม่มีชื่อบุคคลซ้ำกับองค์กรอื่นที่เสนอชื่อ และต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ได้รับการเสนอชื่อด้วย และให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อชำระค่าธรรมเนียมคนละหนึ่งหมื่นบาทโดยให้ค่าธรรมเนียมนั้นตกเป็นรายได้ของรัฐทั้งนี้ บุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรแล้วจะขอถอนชื่อออกจากการได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภามิได้(๒) ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อตาม (๑) ของแต่ละภาค มีจำนวนไม่เกินสามเท่าของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๓๐(๓) ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อตาม (๑) ของแต่ละภาค มีจำนวนเกินกว่าสามเท่าของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ให้แต่ละภาคดำเนินการคัดเลือกกันเองโดยวิธีการลงคะแนนโดยตรงและลับเพื่อให้เหลือจำนวนผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเท่ากับจำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาคในการลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองตาม (๓) ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อมีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ไม่เกินสามคน ในการนี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดวิธีการนำเสนอข้อมูลของผู้ได้รับการสรรหาในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่การลงคะแนนเลือกผู้สมควรได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อขององค์กรตาม (๓) ได้รับคะแนนเท่ากันอันเป็นเหตุให้มีผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อของภาคนั้นเกินจำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อที่มีคะแนนเท่ากันจับสลากเพื่อให้ได้จำนวนผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อของภาคเท่ากับจำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้นำความในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ รวมทั้งบทกำหนดโทษในการฝ่าฝืนมาตรา ๕๓ หรือมาตรา ๕๔ มาใช้บังคับกับการดำเนินการของผู้ใดตามมาตรานี้ด้วยมาตรา ๑๒๙ การพิจารณาเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของแต่ละองค์กรต้องเป็นไปตามระเบียบ วิธีการ หรือข้อบังคับขององค์กรนั้นมาตรา ๑๓๐ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ถ้าเห็นว่าถูกต้องให้ประกาศรายชื่อผู้ได้การเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา พร้อมทั้งแจ้งรายชื่อให้คณะกรรมการสรรหาให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับการแจ้งรายชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากองค์กรกรณีที่บุคคลใดได้รับการเสนอชื่อมากกว่าหนึ่งองค์กร ห้ามมิให้ประกาศรายชื่อบุคคลนั้นในประกาศตามวรรคหนึ่ง และให้นำความในมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ เฉพาะการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาและการพิจารณาของศาลฎีกา มาใช้บังคับโดยอนุโลมมาตรา ๑๓๑ ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาสรรหาบุคคลตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับรายชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง และผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาให้ถือเป็นที่สุดในการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการสรรหากำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหาและแจ้งผลการสรรหาไปยังรัฐสภาเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษามาตรา ๑๓๒ ในกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๓๑ ว่างลงนอกจากการสิ้นสุดสมาชิกภาพเพราะเหตุครบวาระ ให้นำความในมาตรา ๑๒๕ มาตรา ๑๒๖ และมาตรา ๑๒๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้แต่ละภาคซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภาว่างลงเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อรับการสรรหาเป็นจำนวนสามเท่าของตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่ว่างลงมาตรา ๑๓๓ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติในส่วนนี้ค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสรรหา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการสรรหา ใหเป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดมาตรา ๑๓๔ ภายหลังมีการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาแล้ว ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือองค์กรที่ได้รับการลงทะเบียนเป็นองค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า การสรรหาสมาชิกวุฒิสภามิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือองค์กรที่ได้รับการลงทะเบียนเป็นองค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภายื่นคำร้องคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในสามสิบวัน นับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเมื่อปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ผู้ใดได้กระทำการใด ๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับการสรรหา หรือได้รับการสรรหาโดยผลของการที่บุคคลใดได้กระทำการลงไปโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลันในกรณีที่มีการร้องคัดค้านการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ก่อนการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้นำความในหมวด ๑ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนที่ ๑๑ การคัดค้านการเลือกตั้ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมมาตรา ๑๓๕ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนตามมาตรา ๑๓๔วรรคสอง แล้วเห็นว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัย ดังต่อไปนี้โดยพลัน(๑) ถ้าเห็นว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนใดหรือขั้นตอนใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาในส่วนหรือขั้นตอนนั้นใหม่ และให้ผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในส่วนนั้นหรือขั้นตอนนั้นพ้นจากสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำสั่ง(๒) ถ้าเห็นว่าผู้ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือมีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าก่อให้ผู้อื่นกระทำสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นกระทำการดังกล่าว หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วไม่ดำเนินการเพื่อระงับการกระทำนั้น และการกระทำดังกล่าวมีผลให้การสรรหามิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นเป็นเวลาหนึ่งปีโดยให้มีผลนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำสั่งมาตรา ๑๓๖ ในกรณีที่ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๓๕ ถ้าเห็นว่าผู้ใดกระทำการโดยไม่สุจริตทำให้การสรรหาไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้ผู้อื่นได้รับการสรรหาโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น และสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการสรรหาจากการกระทำดังกล่าวด้วยเว้นแต่สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำนั้นหมวด ๓บทกำหนดโทษมาตรา ๑๓๗ ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างผู้ใดขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยว หรือไม่ให้ความสะดวกพอสมควรต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้างแล้วแต่กรณี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับมาตรา ๑๓๘ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับมาตรา ๑๓๙ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สมัครรับเลือกตั้งหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกตั้งโดยฝ่าฝืนมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๓๘ วรรคสอง ได้สมัครรับเลือกตั้งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปีมาตรา ๑๔๐ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๐ มาตรา ๕๓ มาตรา ๕๔ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่งมาตรา ๗๑ หรือมาตรา ๘๒ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปีในกรณีมีการฝ่าฝืนมาตรา ๕๓ และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้กระทำการฝ่าฝืน ให้ศาลสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับไม่เกินกึ่งหนึ่งจากจำนวนเงินค่าปรับแก่ผู้แจ้งความนำจับมาตรา ๑๔๑ ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท และใหศ้ ลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าป ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการ เลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปีถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดยี่สิบปีถ้าการกระทำตามวรรคสองหรือวรรคสามเป็นการกระทำหรือก่อให้ผู้อื่นกระทำสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจของหัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา ๑๔๒ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๐ วรรคสามต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือปรับเป็นจำนวนสามเท่าของจำนวนเงินที่เกินกว่าจำนวนเงินที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะมากกว่ากัน หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีมาตรา ๑๔๓ สมุห์บัญชีเลือกตั้งผู้ใดจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครคนใดไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา ๕๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี และห้ามเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเป็นเวลาห้าปีมาตรา ๑๔๔ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ยื่นรายการค่าใช้จ่ายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือยื่นหลักฐานไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๕๒ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีถ้ารายการค่าใช้จ่ายที่ยื่นตามมาตรา ๕๒ เป็นเท็จ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีมาตรา ๑๔๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีมาตรา ๑๔๖ ผู้ซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๗ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทมาตรา ๑๔๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๙ มาตรา ๖๑ หรือฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๐๖ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๑๐๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับมาตรา ๑๔๘ ผู้ใดจงใจกระทำด้วยประการใด ๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหายหรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปีมาตรา ๑๔๙ ในระหว่างเวลาเปิดการลงคะแนนเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการลงคะแนนเลือกตั้ง ถ้ากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเปิดเผยให้แก่ผู้ใดทราบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดมาลงคะแนนหรือยังไม่มาลงคะแนนเพื่อเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับมาตรา ๑๕๐ ผู้ใดเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการลงคะแนนเลือกตั้งในระหว่างเวลาเจ็ดวันก่อนวันเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการลงคะแนนเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับมาตรา ๑๕๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๗๙ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปีมาตรา ๑๕๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๖๗ มาตรา ๗๒ วรรคสอง มาตรา ๗๓ มาตรา ๗๔มาตรา ๗๕ หรือมาตรา ๗๖ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีในกรณีที่ผู้ฝ่าฝืนตามวรรคหนึ่งเป็นผู้รับหรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ถ้าได้แจ้งถึงการกระทำดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายก่อนหรือในวันเลือกตั้งผู้นั้นไม่ต้องรับโทษมาตรา ๑๕๓ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับผู้ใดกระทำการใดให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับตามมาตรา ๑๑๑ (๒) โดยมิใช่เป็นการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับมาตรา ๑๕๔ ผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิด ในเขตเลือกตั้งในระหว่างเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวันเลือกตั้งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับบทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับกับวันลงคะแนนตามมาตรา ๙๔ มาตรา ๙๕และมาตรา ๙๖ ด้วยมาตรา ๑๕๕ ผู้ใดเล่นหรือจัดให้มีการเล่นการพนันขันต่อใด ๆ เกี่ยวกับผลของการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีมาตรา ๑๕๖ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และผู้นั้นเป็นผู้กระทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นผู้กระทำการใดอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๔๖ วรรคสอง อันเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งใด ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วย ทั้งนี้ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในกรณีที่มีผู้รับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่หลายคน ให้ทุกคนรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วมมาตรา ๑๕๗ ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งใดให้ถือว่าผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองซึ่งส่งสมาชิกของตนลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้นอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร และการกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกันผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าตัวการผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น ได้กระทำในราชอาณาจักรบทเฉพาะกาลมาตรา ๑๕๙ ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีประชุมคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๒๓ เพื่อสรรหาสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรก ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้มีผลใช้บังคับมาตรา ๑๖๐ บุคคลใดถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้ยังคงถือว่าถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้..........................................................................................