หมวด ๑ บททั่วไป (มาตรา ๑-๗) ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ในบททั่วไปนั้นยังคงหลักการและโครงสร้างเดิมตามรัฐธรรมนูญ๒๕๔๐ แต่ก็ได้บัญญัติเพิ่มเติมบางมาตราให้มีความชัดเจนในหลักการมากยิ่งขึ้น ๑.๑ ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวและปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (มาตรา ๑, ๒) ในเรื่องรูปของรัฐยังคงบัญญัติไว้ในมาตรา ๑ เพื่อยืนยันความเป็นรัฐเดี่ยวและมิอาจถูกแบ่งแยกได้ของราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๒ กำหนดให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยทั้งสองมาตรายังคงใช้คำตามรัฐธรรมนูญ๒๕๔๐ ทุกประการ นอกจากนี้ หลักการทั้งสองยังถือเป็น “หลักการที่ไม่อาจถูกแก้ไขได้” ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดๆ ดังจะเห็นได้จากมาตรา ๒๘๒ (๑) วรรคสอง ที่กำหนดห้ามเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ ๑.๒ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย (มาตรา ๓ วรรคหนึ่ง)อำนาจอธิปไตย หรือ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นข้อถกเถียงประการหนึ่งในการร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ คือ จะเขียนว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของ หรือ มาจาก ปวงชนชาวไทยซึ่งในทางทฤษฎีการเขียนสองแบบนี้ มีหลักการที่แตกต่างกัน การเขียนว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของ(Belong to) ปวงชนชาวไทย” ก็ต้องถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และแม้จะมอบหมายให้ผู้แทนใช้อำนาจอธิปไตยแทนตนเอง อำนาจอธิปไตยก็ยังคงอยู่กับประชาชน ในการปกครองประเทศประชาชนต้องมีส่วนในการใช้อำนาจโดยตรง ประชาชนต้องเสนอกฎหมายได้พิจารณากฎหมายได้ ต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้ รวมถึงสามารถถอดถอนผู้แทนของตนได้ ในทางกลับกัน หากเขียนว่า “อำนาจอธิปไตยมาจาก (Emanate from) ประชาชน” แล้ว การปกครองประเทศโดยหลักก็ต้องขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่ของผู้แทนที่ประชาชนเลือกขึ้นมา ประชาชนอาจมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศได้ แต่ก็ในวงจำกัด การตัดสินใจในขั้นตอนสำคัญมิได้เป็นอำนาจของประชาชน และการถอดถอนผู้แทนโดยประชาชนย่อมไม่อาจทำได้ ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่าในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ควรจะใช้คำว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”ในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ยังคงหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยเอาไว้เช่นเดิม(มาตรา ๓) นอกจากนี้ยังทำให้การมีส่วนร่วมในการปกครองง่ายขึ้น โดยการลดความเคร่งครัดของเงื่อนไขในการเริ่มต้นกระบวนการบางอย่างลง อย่างเช่นในการเสนอร่างกฎหมายซึ่งแต่เดิมต้องใช้รายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน ๕๐,๐๐๐คน ก็ลดลงเหลือเพียง ๒๐,๐๐๐คน(มาตรา ๑๕๙) ๑.๓ หลักนิติธรรม (มาตรา ๓ วรรคสอง) เป็นหลักที่บัญญัติเพิ่มเติมไว้ในมาตรา ๓ วรรคสอง กำหนดให้การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาคณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีความเป็นธรรมซึ่งสามารถอธิบายให้เหตุผลได้ และไม่อาจใช้อำนาจรัฐโดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ อันที่จริงนั้นหลักการของ “หลักนิติธรรม” มีปรากฎอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ เพียงแต่มิได้บัญญัติไว้โดยชัดเจนว่าเป็นหลักนิติธรรม แต่อย่างไรก็ดี การที่ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ นำมาบัญญัติไว้โดยชัดเจนในมาตรา ๓ วรรคสองนั้น ย่อมมีผลดีในแง่ของความชัดเจนในการตีความการใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรที่มีอำนาจตีความ อย่างเช่น ศาลรัฐธรรมนูญเป็นต้น ๑.๔ หลักการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค (มาตรา ๔)เป็นหลักการที่ยังคงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แต่ได้เพิ่มเติมในมาตรา ๔ ให้มีความชัดเจนขึ้นว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญ ประเพณีการปกครองของประเทศไทย และพันธกรณีระหว่างประเทศได้รับรองเอาไว้นั้น ย่อมได้รับความคุ้มครอง นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มเติมให้ความคุ้มครองรวมไปถึงความเสมอภาคของบุคคลอีกด้วย ๑.๕ หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๖)หากไม่มีหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรนูญอยู่แล้ว รัฐธรรมนูญก็ไม่ต่างจากพระราชบัญญัติที่อาจถูกแก้ไขได้ทุกเมื่อโดยฝ่ายนิติบัญญัติ และโดยกระบวนการแก้ไขที่กระทำได้โดยง่ายหากสามารถคุมเสียงข้างมากในสภาได้ จึงมีการบัญญัติรับรองหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญเอาไว้ให้ชัดเจนในมาตรา ๖ ตอนต้น ซึ่งยังคงหลักการและถ้อยคำเดิมเอาไว้ทุกประการ อย่างไรก็ดี การบัญญัติให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดจะเป็นเพียงคำพูดลอยๆถ้าหากในรัฐธรรมนูญมิได้กำหนดกลไกสำคัญ ๒ ประการเอาไว้ ประการแรกคือ การกำหนดให้กฎหมายใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะใช้บังคับมิได้ ซึ่งก็ได้บัญญัติเอาไว้ในมาตรา ๖ ตอนท้าย ประการที่สองคือ กำหนดกระบวนการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้ “แก้ไขยาก” กว่ากฎหมายทั่วไป ซึ่งก็ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๒ ๑.๖ บทบัญญัติเพื่ออุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๗)เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ รัฐธรรมนูญแม้จะพยายามบัญญัติให้ครอบคลุมกว้างขวางเพียงใด ก็ไม่สามารถครอบคลุมเนื้อหาได้ทุกเรื่อง จึงจำเป็นต้องใช้ประเพณีการปกครองเป็นบทประกอบให้รัฐธรรมนูญมีความสมบูรณ์ ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีลักษณะสำคัญ ๒ ประการ คือ (๑) เป็นทางปฏิบัติหรือธรรมเนียมที่เคยกระทำสืบต่อกันมาในทางการเมืองโดยที่มิได้มีกฎหมายใดกำหนดเอาไว้ และ (๒) ทางปฏิบัตินั้นต้องมีผลผูกพันต่อบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องให้ต้องกระทำหรือไม่กระทำการใดๆตามที่ทางปฏิบัตินั้นๆได้กำหนดแนวทางไว้ หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ (มาตรา ๘-๒๕)ร่างรัฐรรมนูญ ๒๕๕๐ มิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับพระราชสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์แม้แต่มาตราเดียว๒.๑ พระราชสถานะ๒.๑.๑ ทรงดำรงอยู่ในสถานะอันสูงสุด (มาตรา ๘)รัฐธรรมนูญรับรองพระราชสถานะว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันสูงสุด ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระองค์ในทางใดมิได้ ไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งหรืออาญา และทรงอยู่เหนือความรับผิดชอบทางการเมืองทั้งปวง ดังคำที่กล่าวว่า The King Can Do No Wrong๒.๑.๒ ทรงเป็นพุทธมากะและองค์อัครศาสนูปถัมภก (มาตรา ๙)รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองความเป็นพุทธศาสนิกชนขององค์พระมหากษัตริย์ดังที่เป็นสืบมานับแต่อดีต แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าพระองค์จะทรงดูแลแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก (หัวหน้าผู้ทำนุบำรุงศาสนา) คือ ทรงทำนุบำรุงอุปถัมภ์ศาสนาต่างๆที่มีผู้นับถืออยู่ในประเทศไทย อีกด้วย๒.๑.๓ ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย (มาตรา ๑๐)๒.๒ พระราชอำนาจ๒.๒.๑ ทรงมีพระราชอำนาจสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์(มาตรา ๑๑)พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจดังกล่าวมาแต่อดีต ซึ่งทรงใช้ตามพระราชอัธยาศัยแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองแล้ว๒.๒.๒ ทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนองคมนตรี (มาตรา ๑๒, ๑๓)คณะองมนตรี คือ คณะบุคคลที่มีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่ทรงปรึกษาและหน้าที่อื่นตามรัฐธรรมนูญ พระองค์ทรงแต่งตั้งองคมนตรีจากบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางการเมือง (มาตรา ๑๔) ตามพระราชอัธยาศัยตลอดจนการถอดถอนองคมนตรีก็เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยเช่นเดียวกัน๒.๒.๓ ทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา ๑๘) หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย (มาตรา ๒๖-๖๘)ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ในหมวดว่าด้วยสิทธิเสรีภาพมีการเพิ่มเติมหลักการในบางเรื่องซึ่งก็รวมไปถึงการบัญญัติให้หลักการที่มีอยู่เดิมมีความกระจ่างชัดมากขึ้น และจัดประเภทของสิทธิเสรีภาพเอาไว้เป็นหมวดหมู่ทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ โดยมิได้มีการตัดทอนสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ รับรองเอาไว้ ๓.๑ บททั่วไป (มาตรา ๒๖-๓๑) ๓.๑.๑ การทำให้สิทธิที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญมีผลในทางปฏิบัติได้จริง(มาตรา๒๗, ๒๘) ปัญหาที่เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ คือ สิทธิเสรีภาพบางอย่างที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ไม่มีผลเกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะบทบัญญัติที่กำหนดเงื่อนไขไว้ในตอนท้ายว่า “ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ซึ่งองค์กรที่มีอำนาจในการดำเนินการหรือสั่งการต่างปฏิเสธที่จะบังคับการให้เป็นไปตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ โดยให้เหตุผลว่า “ยังไม่มีกฎหมายลูกออกมาใช้บังคับ”ทั้งที่ความจริงแล้ว สิทธิที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ได้รับรองไว้นั้น มีผลผูกพันต่อการใช้อำนาจรัฐโดยตรงอยู่แล้วตามมาตรา ๒๗ เดิม ดังนั้นในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ จึงวางหลักการดังกล่าวให้มีความชัดเจนโดยการตัด คำว่า “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” และกำหนดสาระสำคัญแห่งสิทธิเหล่านั้นลงไปให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพที่รับรองไว้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีการตรากฎหมายลูกขึ้นมาก่อน โดยกำหนดกลไกการบังคับการเอาไว้ในมาตรา ๒๘ วรรคสาม ให้บุคคลสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดสิทธิเสรีภาพได้โดยตรง กล่าวคือ ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้อย่างชัดเจน ศาลก็จะต้องตีความรับรองสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้มีผลบังคับได้โดยตรง นอกจากนี้ ร่างรัฐธรรนูญ ๒๕๕๐ ยังได้กำหนดเอาไว้ในบทเฉพาะกาลให้รัฐดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการกำหนดรายละเอียดเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการใช้สิทธิเสรีภาพตามในบางเรื่องที่รับรองไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ (มาตรา ๒๙๓) ๓.๑.๒ ข้อจำกัดในการตรากฎหมายจำกัดสิทธิ (มาตรา ๒๙)เพิ่มหลักการ “ห้ามตรากฎหมายจำกัดสิทธินอกเหนือไปจากที่ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐กำหนดไว้” นั่นคือ ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญบัญญัตติให้ตรากฎหมายจำกัดสิทธิในเรื่องใดเอาไว้โดยเฉพาะ รัฐจะตรากฎหมายออกมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้เฉพาะเรื่องดังกล่าวเท่านั้น ส่วนหลักการตรากฎหมายจำกัดสิทธิอื่นๆนั้นก็ยังคงตามหลักการเดิมในรัฐธรรมนูญ๒๕๔๐ ซึ่งก็ได้แก่ หลักความพอสมควรแก่เหตุ หลักการไม่กระทบต่อสาระสำคัญแห่งสิทธิ และหลักการมีผลบังคับเป็นการทั่วไป ทั้งนี้ มีข้อสังเกตคือ ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ได้ตัด “หลักการระบุบทบัญญัติที่ให้อำนาจในการตรากฎหมาย” ออกไป เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่เปลี่ยนไปนั่นคือการตัดคำว่า “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ออกไป ทำให้ไม่มีมาตราที่จะอ้างได้ ๓.๑.๓ หลักความเสมอภาค (มาตรา ๕, ๓๐, ๓๑) ในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ยังคงหลักการและถ้อยคำเดิมตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ทุกประการ กล่าวคือ ยังคงยึดถือหลักที่ว่า ต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่เหมือนกันในสาระสำคัญอย่างเดียวกัน และปฏิบัติต่อบุคคลที่แตกต่างกันในสาระสำคัญต่างกันออกไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละคน ทั้งนี้ ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ได้นำเอา มาตรา๖๔ เดิม มาบัญญัติไว้เป็นมาตรา ๓๑ เนื่องจากมาตราดังกล่าวเป็นเรื่องของความเสมอภาคเช่นเดียวกัน ๓.๒ สิทธิและเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพแบ่งออกเป็น ๑๑ ส่วนดังนี้๓.๒.๑ สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล (มาตรา ๓๒-๓๘) สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย (มาตรา ๓๒) มีการเพิ่มเติมเรื่องการรับรองการใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลใดโดยชอบด้วยกฎหมาย และในกรณีที่เกิดความเสียหายต้องดำเนินการแก้ไข เยียวยาให้กับบุคคลดังกล่าว เสรีภาพในเคหะสถาน (มาตรา ๓๓) หลักการคงเดิม แต่เพิ่มเรื่องการค้นต้องมีหมายศาลเอาไว้ในวรรคสองเพื่อความชัดเจน เสรีภาพในการเดินทางและเลือกถิ่นที่อยู่ (มาตรา ๓๔) คงหลักการและถ้อยคำเดิมไว้ทุกประการ สิทธิในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง ข้อมูลส่วนบุคคล และความเป็นอยู่ส่วนตัว(มาตรา ๓๕) เพิ่มเติมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อไม่ให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่หรือนำไปใช้โดยมิชอบ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ เสรีภาพในการสื่อสาร (มาตรา ๓๖) คงหลักการและถ้อยคำเดิมไว้ทุกประการ เสรีถาพในการนับถือศาสนา (มาตรา ๓๗) เพิ่มเติมคำว่า “ศาสนธรรม” (คำสั่งสอนในศาสนา) ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าคำที่ใช้อยู่เดิมคือ “ศาสนบัญญัติ” ที่หมายความเฉพาะคำสอนที่มีการบัญญัตไว้เท่านั้น แต่ ศาสนธรรมนั้น ครอบคลุมถึงการประพฤติปฏิบัติตามหลักศีลธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะมีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม สิทธิที่จะไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน (มาตรา ๓๘) คงหลักการและถ้อยคำเดิมไว้ทุกประการ ๓.๒.๒ สิทธิในกระบวนการยุติธรรม (มาตรา ๓๙, ๔๐) กำหนดสาระสำคัญของสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับในการดำเนินกระบวนยุติธรรมเอาไว้ในมาตรา ๔๐ โดยไม่บัญญัติลงรายละเอียดเนื่องจากได้มีการนำไปบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว อีกทั้งการกำหนดรายละเอียดลงในรัฐธรรมนูญจะทำให้การปรับปรุงกฎหมายในส่วนนี้เป็นไปได้ยากเพราะจะเกิดปัญหาการขัดต่อรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังได้เพิ่มหลักการในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิ โดยกำหนดไว้ในมาตรา ๔๐ (๑) ให้บุคคลย่อมมีสิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว ทั่วถึงและเสียค่าใช้จ่ายตามควรแก่กรณี ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๙๓ ยังกำหนดให้มีการดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมการใช้สิทธิตามมาตรา ๔๐ ภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญอีกด้วย ๓.๒.๓ สิทธิในทรัพย์สิน (มาตรา ๔๑, ๔๒) ยังคงหลักการและถ้อยคำเดิมตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ทุกประการ ทั้งในเรื่องสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน และการใช้อำนาจเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ ๓.๒.๔ สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ (มาตรา ๔๓, ๔๔)คงหลักการและถ้อยคำเดิมในเรื่องเสรีภาพในการประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีและเป็นธรรม และเพิ่มเติมในส่วนของสิทธิที่จะได้รับหลักประกันจากรัฐในเรื่องสวัสดิภาพ ความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงการได้รับหลักประกันในการดำรงชีพทั้งในระหว่างการทำงานและเมื่อพ้นภาวะการทำงาน ทั้งนี้ ตามมาตรา ๔๔ ๓.๒.๕ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน (มาตรา ๔๕-๔๗)ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ บัญญัติให้เสรีภาพในการแทรกความคิดเห็นเพิ่มมากขึ้น โดยการให้ความคุ้มครองทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน นอกจากนี้ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๙๓ ยังกำหนดให้มีการดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (ส่วนที่ ๗) ภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญอีกด้วย เสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน (มาตรา ๔๕) แก้ไขถ้อยคำในมาตรา ๓๙วรรคสามเดิม โดยใช้คำว่า “สื่อมวลชน” เพื่อให้ครอบคลุมถึงบรรดาสื่อทุกชนิด และเพิ่มหลักประกันในการประกอบวิชาชีพของสื่อมวลชนในอันที่จะไม่ถูกครอบงำโดยรัฐเข้าไว้ในวรรคสี่กำหนดให้การห้ามหรือการแทรกแซงใดๆอันเป็นการริดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำมิได้ นอกเสียจากอาศัยอำนาจตามกฎหมาย โดยกฎหมายดังกล่าวต้องตราขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน (มาตรา ๔๕ วรรคสอง) เสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นของบุคคลผู้เป็นลูกจ้าง (มาตรา๔๖) ยังคงหลักการและถ้อยคำเดิมตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ที่คุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นของพนักงานและลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบวิชาชีพสื่อ (วรรคหนึ่ง) รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ (วรรคสอง) และได้เพิ่มการห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าของกิจการใดๆ กระทำการอันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นของบุคคลผู้ได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้ การฝ่าฝืนให้ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และหากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็อาจมีความผิดทางอาญา อย่างไรก็ดี การขัดขวางหรือการแทรกแซงอาจทำได้หากเป็นไปตามกฎหมายหรือเพื่อให้เป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบอาชีพ (วรรคสาม) เสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นของบุคคลตามวรรคหนึ่งและสองต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญมาตราอื่น ตัวอย่างเช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองตามร่างฯมาตรา ๓๕ ย่อมเป็นข้อจำกัดข้อหนึ่งของเสรีภาพตามมาตรานี้ สิทธิในคลื่นความถี่ (มาตรา ๔๗) ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ กำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (วรรคสอง) โดยการกำกับต้องมีมาตราการเพื่อป้องกันการควบรวมหรือครอบงำอันจะทำให้เสรีภาพในการได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนถูกปิดกั้น (วรรคสี่) และองค์กรดังกล่าวต้องจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะ (วรรคสาม)นอกจากนี้ยังกำหนดห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้าเป็นเจ้าของกิจการ เป็นผู้ถือหุ้นหรือดำเนินการโดยวิธีใดที่จะทำให้สามารถบริหารกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม (วรรคห้า) ๓.๒.๖ สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา (มาตรา ๔๘, ๔๙) เพิ่มเติมให้ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ต้องได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐเช่นเดียวกับบุคคลอื่น นอกจากนี้รัฐยังต้องคุ้มครองและส่งเสริมการศึกษาทางเลือก การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนอีกด้วยและในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๙๓ กำหนดให้มีการดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมในเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการศึกษา (ส่วนที่ ๘) ภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๓.๒.๗ สิทธิในการได้รับบริการสาธารณะสุขและสวัสดิการจากรัฐ (มาตรา ๕๐-๕๔) สิทธิในการรับบริการทางสาธารณะสุข (มาตรา ๕๐) คงหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองจากการใช้ความรุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม (มาตรา ๕๑) เพิ่มการคุ้มครองแก่เด็ก เยาวชน และบุคคลในครอบครัวให้ได้รับหลักประกันในการอยู่รอด และได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม(วรรคหนึ่งตอนท้าย) การแทรกแซงหรือจำกัดสิทธิดังกล่าวจะทำได้ก็แต่โดยกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนและรักษาไว้ซึ่งสถานะของครอบครัวหรือประโยชน์สูงสุดของบุคคลดังกล่าวเท่านั้น (วรรคสอง) สิทธิของผู้ชรา ผู้พิการหรือทุพพลภาพ และผู้ไร้ที่อยู่อาศัยในอันที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ (มาตรา ๕๒-๕๔) คงหลักการเดิมในเรื่องสิทธิของผู้ชราและผู้พิการ และได้เพิ่มเติมให้สิทธิแก่ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย โดยรัฐมีหน้าที่ต้องให้ความช่วยเหลือดูแลให้มีที่อยู่อาศัยตามสมควรนอกจากนี้ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๙๓ กำหนดให้มีการดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมในเรื่องสิทธิในการได้รับบริการสาธารณะสุขและสวัสดิการจากรัฐ (ส่วนที่ ๙) ภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญอีกด้วย ๓.๒.๘ สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน (มาตรา ๕๕-๖๑)โดยส่วนมากยังคงหลักการเดิม แต่ได้ตัดคำว่า “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ออก เพื่อให้สิทธิที่รับรองไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มีผลผูกพันต่อรัฐทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีการตรากฎหมายใดๆ นอกจากนี้ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๙๓ กำหนดให้มีการดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมในเรื่องสิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน (ส่วนที่ ๑๐)ภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญอีกด้วย สิทธิได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร (มาตรา ๕๕) คงหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญ๒๕๔๐ สิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐ (มาตรา ๕๖) เพิ่มสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการของรัฐ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณา (วรรคหนึ่ง) รวมทั้งการออกกฎที่จะมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน รัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนจะดำเนินการ (วรรคสอง) สิทธิมีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของตน (มาตรา ๕๗) สิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ (มาตรา ๕๘) สิทธิฟ้องหน่วยงานของรัฐ (มาตรา ๕๙) ทั้งหมดนี้ยังคงหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ สิทธิของผู้บริโภค (มาตรา ๖๐) เพิ่มรายละเอียดการคุ้มครองให้ชัดเจนขึ้น โดยผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง มีสิทธิร้องเรียนเพื่อให้ได้รับการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย รวมทั้งมีสิทธิรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค เพื่อเป็นแนวทางในการใช้อำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยไม่ต้องรอให้มีการตรากฎหมายลูก (วรรคหนึ่ง) รวมทั้งกำหนดให้มีองค์การเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคแยกต่างหากจากการดำเนินการของรัฐ ทำหน้าที่ให้ความเห็นต่อการดำเนินการของรัฐในส่วนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค (วรรคสอง)ในบทเฉพาะกาลยังกำหนดให้มีการตรากฎหมายจัดตั้งองค์กรดังกล่าวภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญด้วย สิทธิติดตามและร้องขอให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา ๖๑) เป็นหลักการที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ ให้สิทธิแก่ประชาชนในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และให้ความคุ้มครองต่อบุคคลผู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบ๓.๒.๙ เสรีภาพในการชุมนุมและสมาคม (มาตรา ๖๒-๖๔) เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ (มาตรา ๖๒) ยังคงหลักการและถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ทุกประการ เสรีภาพในการรวมกลุ่ม (มาตรา ๖๓) คงหลักการเดิม และเพิ่มหลักการในส่วนของการให้เจ้าหน้าที่ของรัมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มเช่นเดียวกับบุคคลโดยทั่วไป เพื่อใช้เป็นวิถีทางในการเจรจากับรัฐให้ได้รับความเป็นธรรม แต่ทั้งนี้ การรวมกลุ่มดังกล่าวต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน และความต่อเนื่องในการจัดทำบริการสาธารณะ เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง (มาตรา ๖๔) ยังคงหลักการและถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ทุกประการ ๓.๒.๑๐ สิทธิชุมชน (มาตรา ๖๕, ๖๖) ขยายสิทธิชุมชน โดยการเพิ่มสิทธิของชุมชน และชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้ครอบคลุมถึงกรณีการรวมตัวกันของบุคคลขึ้นเป็นชุมชนโดยไม่จำเป็นต้องเป็นการรวมตัวกันมาเป็นเวลานานจนถือว่าเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม (มาตรา ๖๕) นอกจากนี้ การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน (มาตรา ๖๖ วรรคสอง) โดยชุมชนมี สิทธิที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคลเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิชุมชนไว้ (มาตรา ๖๖ วรรคสาม)ในบทเฉพาะกาลกำหนดให้มีการตรากฎหมายกำหนดรายละเอียดของสิทธิชุมชน (ส่วนที่๑๒) ภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๓.๒.๑๑ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (มาตรา ๖๗, ๖๘)ยังคงหลักการเดิม คือ รัฐธรรมนูญห้ามบุคคลใดกระทำการอันเป็นการล้มล้างระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย (มาตรา ๖๗) และให้ความคุ้มครองแก่บุคคลผู้ต่อต้านการกระทำดังกล่าวโดยสันติวิธี (มาตร๖๘ วรรคหนึ่ง) นอกจากนี้ได้เพิ่มความในมาตรา ๖๘วรรคสองให้มีคณะบุคคลซึ่งประกอบด้วยผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ด้านต่างๆตามรัฐธรรมนูญ เป็นกลุ่มที่จะพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศที่ไม่อาจแก้ไขโดยวิถีทางปกติได้ หมวด ๔ หน้าที่ของชนชาวไทย (มาตรา ๖๙-๗๓)ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ บัญญัติเรื่องหน้าที่ของชนชาวไทยเอาไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ๒๕๔๐ โดยมีการแก้ไขและเพิ่มเติมหลักการรวม ๓ ประเด็น ได้แก่ ๔.๑ แก้ไขในเรื่องหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา ๗๑)การกำหนดให้การใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่นั้น เป็นหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ที่ต้องการให้ประชาชนมีรู้สึก “รับผิดชอบ” ต่อหน้าที่ของตนเอง เนื่องจากเดิมก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ การเลือกตั้งยังเป็น “สิทธิ” อยู่ ประชาชนจึงเกิดความรู้สึกว่าจะไปใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้ ทำให้อัตราการไปใช้สิทธิเลือกตั้งค่อนข้างต่ำ และไม่เป็นผลดีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางผู้แทน รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ จึงกำหนดให้การเลือกตั้งเป็น “หน้าที่” ของประชาชน ซึ่งหมายความว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีหน้าที่ไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง แต่จะเลือกผู้แทนคนใดหรือจะไม่เลือกใครเลยก็ถือเป็นสิทธิของประชาชน รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งต้องเสียสิทธิ ๘ ประการ เพื่อบังคับให้ประชาชนต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่อย่างไรก็ดี สิทธิทั้ง๘ ประการนั้นล้วนแล้วแต่ป็นสิทธิทางการเมือง การกำหนดให้เสียสิทธิดังกล่าวไปนั้นจึงหาได้ส่งผลต่อการตัดสินใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนโดยรวมมากนัก ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ จึงวางหลักการใหม่ โดยยังคงกำหนดให้ผู้ที่ไม่ไปเลือกตั้งเสียสิทธิบางประการ แต่กำหนดให้ผู้ที่ไปเลือกตั้งได้รับสิทธิบางประการตามที่กฎหมายบัญญัติ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จากเดิมมีลักษณะของการ“บังคับ” มาเป็นการ “จูงใจ” ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๔.๒ กำหนดหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติสาธารณะ (มาตรา ๗๒)เป็นการเพิ่มเติมหน้าที่ของชนชาวไทยขึ้นใหม่ โดยบัญญัติเพิ่มไว้มาตรา ๖๙ เดิม ๔.๓ กำหนดให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (มาตร ๗๓) หลักการดังกล่าวเป็นแนวทางที่กำหนดไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และต้องมีการปฏิบัติงานที่โปร่งใสมีผลสัมฤทธิ์ในงานที่ทำ ลด (ยังมีต่อ)