รายงานภาวะเศรษฐกิจและการค้าของกรีซเดือนกันยายน 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 7, 2010 10:51 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงทรงตัวจากที่ในไตรมาส 2 เศรษฐกิจได้เข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น ร้านค้าและธุรกิจยังคงทะยอยเลิกกิจการ และทาให้จานวนคนว่างงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อันเป็นผลจากการที่รัฐบาลกรีซได้ออกมาตรการเข้มงวดด้านรายจ่ายงบประมาณ ซึ่งได้แก่การลดเงินเดือนข้าราชการ (15%) และลดการจ่ายบำนาญ (10%) การปรับเพิ่ม VAT เป็น 23% และการเก็บภาษีสรรพสามิตกับสินค้าใหม่หลายรายการ ทำให้การบริโภคหดตัว ยอดจำหน่ายปลีกลดลงตาสุดในรอบ 7 ปี นักวิเคราะห์ได้ออกมาเตือนรัฐบาลว่ามาตรการเข้มงวดของรัฐบาลจะส่งผลกระทบทางลบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ ซึ่งมาจากการบริโภคภาคเอกชนถึงร้อยละ 70 ทาให้ไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย โดยช่วง 7 เดือนแรกของปี 2553 จัดเก็บงบประมาณรายได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ (29.4 พันล้านยูโร) ถึง 770 ล้านยูโร

2. สำนักงานสถิติแห่งชาติ (The Hellenic Statistical Authority - ELSTAT) ได้รายงานว่าภาวะเศรษฐกิจกรีซในไตรมาส 2 ของปี 2553 หดตัวลง 1.8% ของไตรมาสแรก และลดลง 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่า GDP ในปี 2553 จะลดลงกว่า 4% นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐและการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 2 ของปี 2553 ได้ลดลง 8.4% และ 4.2% ตามลาดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ทำให้การบริโภครวมลดลง 5.1% การใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดลง 4.2% การลงทุนลดลง 18.6% (โดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง)

3. สมาคมผู้ส่งออก (The Panhellenic Exporters Association) ได้เปิดเผยว่าการขาดดุลการค้าของกรีซหดตัวลงต่อเนื่องโดยในเดือนกรกฎาคม 2553 มีการส่งออกทั้งสิ้น 1,325.5 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้น 0.04% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2552 ซึ่งส่งออกมูลค่า 1,325.1 พันล้านยูโร และทำให้การส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (ราว 1.8%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหรือส่งออกเพิ่มขึ้น 8.648 พันล้านยูโร

ในด้านการนำเข้า มีการนำเข้าลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในเดือนกรกฎาคม 2553 มีมูลค่า 3.030 พันล้านยูโร เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนำเข้า 4.385 พันล้านยูโร หรือลดลงราว 30%

การขาดดุลการค้าในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2553 กรีซขาดดุลการค้า 14.5 พันล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งขาดดุล 20.5 พันล้านยูโร

4. ผลการสำรวจของบริษัทจัดหางาน Man Power Inc. ที่สารวจความต้องการจ้างงานเพิ่มของนายจ้างในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2553 ใน 36 ประเทศ พบว่าประเทศที่มีความต้องการจ้างงานมากได้แก่ สวิสเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์และเยอรมัน ส่วนประเทศที่มีความคิดจะจ้างงานน้อยที่สุด ได้แก่ กรีซ อิตาลีและสาธารณรัฐเช็ค

การสำรวจดังกล่าวเริ่มในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2551 จากตัวอย่าง 750 บริษัท ผลสำรวจปรากฏว่า 72% เห็นว่าการจ้างงานจะอยู่ในระดับคงที่ โดย 8% คาดว่าจะเพิ่มการจ้าง และ 18% คาดว่าจะลดการจ้างลง

ทั้งนี้สมาพันธ์แรงงานแห่งชาติ (The General Confederation of Labor - GSEE) คาดว่ายอดคนว่างงานจะเพิ่มขึ้น 20% ภายในสิ้นปี 2553 ซึ่งหมายถึงจำนวนคนว่างงานจะสูงถึงกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเป็นผลจากการที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่สภาวะถดถอยมากขึ้น และการที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายระเบียบการจ้างงานให้นายจ้างลดเงินเดือนลูกจ้างได้ นอกจากนี้สมาพันธ์แรงงานแห่งธุรกิจและผู้ค้าขนาดเล็ก (The General Confederation of Small Business and Traders - GSEVEE) ได้คาดการณ์ว่า ภายใน 6 เดือนข้างหน้าจะมีการว่างงานถึง 120,000 ตาแหน่ง เนื่องจากการบริโภคในประเทศที่ลดลงอย่างมาก โดยการว่างงานสูงจะเกิดขึ้นในธุรกิจการค้าปลีกและค้าส่งการผลิตและการท่องเที่ยว ส่วนภาคที่จะมีการว่างงานน้อยที่สุดได้แก่ การขนส่งและการสื่อสาร ธุรกิจด้านพลังงานและการบริการด้านการเงิน

5. The Hellenic Statistical Authority ได้เปิดเผยว่าข้อกำหนดต่างๆที่ IMF ได้เสนอให้กรีซดาเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจนั้นถือว่าประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและทาให้ลดรายได้รัฐลดลง โดยในเดือนกรกฎาคม 2553 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2553 (5.2%) เป็น 5.5% สูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 0.6% ในขณะที่รายได้รัฐลดลง 10% ราคาสินค้าที่สูงขึ้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคครัวเรือนโดยทาให้รายได้ลดลง 30%

ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลายคนได้แสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจกรีซจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ร้านค้าและธุรกิจจะปิดดาเนินการมากขึ้น มีผลทำให้มีจำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้นและอาจเกิดความไม่พอใจของภาคสังคมเพิ่มมากขึ้น

6. สำนักงานสถิติแห่งกรีซ (The Hellenic Statistical Authority - ELSTAT) ได้เปิดเผยข้อมูลภาวะเศรษฐกิจกรีซในไตรมาส 2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2553 มีการหดตัวมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ อันเนื่องมาจากมาตรการลดรายจ่ายและการหารายได้โดยการเก็บภาษีเพิ่มของรัฐบาล

  • GDP หดตัวลง 1.8% จากไตรมาสก่อนหน้าและ 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
  • การบริโภคลดลง 5.1 % (การบริโภคภาครัฐลดลง 8.4% และภาคเอกชนลดลง 4.2%)
  • การใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดลง 4.2%

7. รัฐบาลกรีซโดยกระทรวงการคลังคาดว่าจะขึ้นภาษี VAT ในสินค้าหลายๆรายการจากเดิม 11% เป็น 13% ในเดือนมกราคม 2554 เพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น การเพิ่มภาษี VAT ขึ้น 1% จะทาให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้น 500 ล้านยูโรและหากเก็บภาษี VAT เท่ากับ 13% จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 1,000 ล้านยูโร ส่วนการขึ้นภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง รัฐบาลอาจเลื่อนออกไปก่อนจนถึงตุลาคม 2554

ทั้งนี้ การขึ้นภาษี VAT 13% ดังกล่าวกระทบต่อราคาสินค้าหลายๆรายการ โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหาร

นอกจากนี้ ในขณะที่มาตรการเพื่อจัดการกับหนี้ภาษีค้างจ่ายที่กำหนดให้บริษัทและผู้ประกอบการอิสระสามารถจ่ายขั้นตา ตั้งแต่ 100-400 ยูโร (ขึ้นอยู่กับชนิดของบัญชี) กระทรวงการคลังได้รายงานว่า ได้มีการศึกษาเพื่อหาวิธีการจูงใจให้ผู้ประกอบการยินดีที่จะจ่ายชาระหนี้ โดยยินยอมให้ผู้ชำระหนี้ทำลายเอกสารด้านภาษีสำหรับช่วงปี 2543-2552 ได้ ซึ่งคาดว่าจะทาให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2,000 ล้านยูโร

8. ธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งกรีซ (The Investment Bank of Greece - IBG) รายงานว่ารัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกเพื่อปรับปรุงระบบการเก็บภาษีจากรายได้จากผู้ประกอบการ ซึ่งคาดว่าจะบรรจุรวมเข้าไปในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในเดือนตุลาคมนี้

ในปัจจุบัน อัตราภาษีที่เรียกเก็บจากกาไรและเงินปันผลจากการดาเนินกิจการเท่ากับ 40% และภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate tax) เท่ากับ 24% และลดลงเรื่อยๆจนเหลือ 20% ในปี 2557

การพิจารณาปรับปรุงการเก็บภาษีใหม่ดังกล่าว เป็นผลจากการที่รัฐบาลกรีซได้ออกมาตรการเข้มงวดด้านรายจ่ายและเพิ่มการเก็บภาษีมากขึ้น เพื่อหารายได้มาชดเชยการขาดดุลงบประมาณให้ได้ 30 พันล้านยูโร (13.6% ของ GDP) ซึ่งมาตรการดังกล่าวไม่ได้รับการตอบรับจากผู้นาภาคอุตสากรรมต่างๆที่เห็นว่ามาตรการจะก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อกาไร และความเจริญเติบโตด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนออื่นๆให้รัฐบาลพิจารณา ได้แก่ การเก็บภาษีรายได้จากการดาเนินธุรกิจเป็นแบบ Hat rate แทน

ทั้งนี้ บริษัท Athens Brewery ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจาหน่ายเบียร์รายใหญ่ของกรีซ ได้กล่าวว่ารัฐบาลควรมีการพิจารณาทบทวนการเก็บภาษีใหม่ จากเดิมที่มีการเก็บภาษีที่สูงมาก เพื่อจูงใจผู้ประกอบการและนักลงทุน โดยกล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรก บริษัทต้องจ่ายภาษีสูงถึง 50 ล้านยูโร จากการที่รัฐบาลเรียกเก็บภาษีในอัตรา 40% (จาก Distributable profit) บวกกับ 10% (one - off tax on profit) และภาษีสรรพสามิตที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วถึง 4 ครั้งในรอบ 2 ปี

9. กระทรวงการคลังกรีซอยู่ระหว่างการพิจารณาหาวิธีการเพื่อกระตุ้นการลงทุน และการจ้างงานด้วยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี (Tax incentives) สาหรับการลงทุนขนาดใหญ่ รวมทั้งการชะลอการเก็บภาษี (Tax break) ซึ่งต้องเป็นไปตามระเบียบของ European Union Competition Rules ด้วย โดยวิธีการดังกล่าวได้แก่

  • การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate tax) จากปัจจุบัน 24% เป็น 20% (เริ่มมีผลได้ในปี 2554) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบการในกรีซหันไปทาธุรกิจในประเทศอื่นที่มีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจดีกว่า รวมทั้งการลดอัตราภาษีสาหรับเงินปันผลที่จ่ายให้แก่นักลงทุนต่างประเทศเป็นต้น

ทั้งนี้ ผลจากการเก็บภาษีในอัตราที่สูง ทาให้อัตราเงินเฟ้อของกรีซสูงขึ้นตามไปด้วย โดย EU และ IMF ได้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2553 จะเท่ากับ 4.75% (เดิม 1.9%)

10. ผลการประชุม World Economic Forum ได้รายงานผลการประเมินระดับความสามารถในการแข่งขันของ 139 ประเทศ พบว่า กรีซอยู่ในอันดับที่ 83 ลดลงจากเดิม (อันดับที่ 71) และตากว่าประเทศรวันดาและบอสวานา โดยมีสาเหตุจากการที่กรีซขาดประสิทธิภาพในด้านองค์กรของรัฐ ประสิทธิภาพการทางานของรัฐบาลและการคอรัปชั่น และตลาดแรงงานที่ขาดประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ในการประเมินมีหัวข้อที่นามาพิจารณา 12 เรื่องได้แก่ การประเมินผลด้านสาธารณูปโภค ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค สาธารณสุขและการศึกษาขั้นพื้นฐาน ความซับซ้อนของตลาดการเงิน และนวัตกรรม โดยประเทศที่ได้รับการจัดอันดับได้แก่ สวิสเซอร์แลนด์ ตามด้วยสวีเดน และสิงคโปร์ โดยผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นว่า กรีซควรมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการช่วยให้ธุรกิจเริ่มดาเนินกิจการได้ง่ายขึ้น และการขจัดคอรัปชั่น อย่างไรก็ดีกรีซมีจุดแข็งอยู่ที่แรงงานมีมาตรฐานการศึกษาสูงและสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นการพัฒนาความสามารถในการผลิตได้ดี

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงโรม

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ