ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป ยังกังวลอยู่กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศตนเอง สถานการณ์เศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนกลับเป็นตรงกันข้าม สถาบันเพื่อการวิจัยแห่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (Chinese Academy of Social Science: CASS) ได้คาดการณ์สภาพเศรษฐกิจหรือ GDP ของสาธารณรัฐประชาชนจีน จะมีการขยายตัวถึงร้อยละ 10 ในปี ค.ศ. 2011 ซึ่งอัตราการขยายตัวดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ความต้องการบริโภคภายในประเทศ สภาวะเศรษฐกิจโลก และการควบคุมเศรษฐกิจมหภาค
สำหรับในปี ค.ศ. 2010 สถาบัน CASS คาดว่าสภาพเศรษฐกิจหรือ GDP ของสาธารณรัฐประชาชนจีน จะขยายตัวร้อยละ 9.9 โดยในไตรมาสที่ 1 GDP ขยายตัวร้อยละ 11.9 ไตรมาสที่ 2 GDP ขยายตัวร้อยละ 10.3 และไตรมาสที่ 3 GDP ขยายตัวร้อยละ 9.6 การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าว ส่วนใหญ่จะมาจากการลงทุนจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องค่าครองชีพของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้มีการคาดการณ์ว่าจนถึงสิ้นปี ค.ศ. 2010 ดัชนีราคาผู้บริโภคจะสูงขึ้นร้อยละ 3.2 มีผลกดดันให้รัฐบาลจีนอาจจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยธนาคารเพื่อหยุดภาวะเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งรัฐบาลจีนเห็นว่าเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่สำคัญมาก
ความพยายามที่จะควบคุมค่าครองชีพของรัฐบาลจีน ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจภายในประเทศของผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งในมณฑลยูนนาน ผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่ อาทิ วอลมาร์ท และคาร์ฟู จะต้องจัดทำรายงานแจ้งต่อคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission) ของมณฑลยูนนาน ก่อนที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าได้ ดัชนีราคาผู้บริโภคของนครคุนหมิง ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2010 มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 4.4 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากราคาสินค้าอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น นครคุนหมิงจึงถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดเมืองหนึ่งใน 36 เมืองใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนั้น รัฐบาลท้องถิ่นจึงได้เข้ามาควบคุมการขึ้นราคาสินค้าอย่างเข้มงวด
เศรษฐกิจของนครคุนหมิงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยใน 3 ไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2010 GDP ขยายตัวถึงร้อยละ 14.3
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง
ที่มา: http://www.depthai.go.th