ด้วยในระหว่างวันที่ ๒ — ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงเม็กซิโกได้ร่วมเดินทางกับเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเม็กซิโก ( นายสุวัฒน์ จิราพันธ์) ไปพบปะกับหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐฯ เอกชน และทำการศึกษาสำรวจศักยภาพของรัฐฯเวราครูซ Veracruz ของประเทศเม็กซิโก สำนักงานฯ จึงใคร่ขอรายงานผลการเดินทางดังต่อไปนี้
คณะฯ ได้ไปเยือนบริษัท Tamsa ซึ่งเป็นบริษัทที่มีต้นกำหนดจากประเทศเม็กซิโก เป็นผู้ผลิตท่อเหล็กสำหรับภาคอุตสาหกรรมพลังงานด้านน้ำมันและแก็ส โดยมีกำลังผลิต ๗๘๐,๐๐๐ ตันต่อปี และข้อต่อท่อ fitting อีก ๑๕,๐๐๐ ตันต่อปี ด้วยกำลังแรงงานจำนวน ๓,๕๐๐ ราย ในปัจจุบันบริษัทได้ถูกควบรวมกับ Teneris กลายเป็น Teneris Tamsa ทำให้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับสินค้าท่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน มีกำลังการผลิตกว่า ๖ ล้านตันต่อปี ด้วยพนักงานจำนวน ๒๔,๐๐๐ ราย และยอดรายได้ต่อปีจำนวน ๑๒ พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เฉพาะประเทศเม็กซิโกซึ่งมีสำนักงานฝ่ายขาย ๙ แห่ง โรงงาน ๒ แห่งและศูนย์พัฒนาและการวิจัยอีก ๑ แห่งในรัฐเวราครูซ และมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตจากการพัฒนาแหล่งพลังงานของประเทศเม็กซิโก เนื่องจากบริษัทน้ำมันแห่งชาติเม็กซิโก PEMEX มีการขุดเจาะสำรวจและการพัฒนาพลังงานค่อนข้างมากในอ่าวเม็กซิโกซึ่งอยู่ในพื้นที่รัฐฯ
ในขณะเดียวกัน บริษัทมีการผลิตท่อที่เข้าไปมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ชิ้นส่วนเครื่องจักรในระบบฟั่นเพือง ในระบบส่งความร้อน และในระบบที่ใช้แรงอัดสูง ตลอดจนอะไหล่ชิ้นส่วนยานยนต์ โดยในปัจจุบันมีการขยายโรงงานที่ ๓ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ นี้ ซึ่งจะสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๔๕๐,๐๐๐ ตันต่อปี สำหรับหน่วยงานในภาคพื้นเอเชียมีสำนักงานฝ่ายการขายที่ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซียและโรงงานที่บาตาน (Batan) ในประเทศอินโดนีเซีย
ภายหลังคณะฯ ได้เดินทางไปพบกับอธิบดีเจ้าท่าเรือเวราครูซ Mr. Juan Icnacio Fernandez Carbajal ซึ่งได้บรรยายสรุปการดำเนินธุรกิจของท่าเรือ โดยถือได้ว่าเป็นท่าเรือที่มีกำลังการรับส่งขนถ่ายและการใช้พื้นที่พักสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเม็กซิโก เป็นท่าเรือที่มีการขนส่งทั้งในรูปแบบของสินค้าสำเร็จรูปในตู้คอนเทนเนอร์ และปริมาณ Bulk นอกจากนี้ ยังเป็นฐานการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเม็กซิโก ตลอดจนการขนส่งสินค้าแร่และโลหะ และขนถ่ายแก็สและของเหลว ตลอดจนสินค้าเกษตร ที่ครบวงจรมากที่สุดของประเทศเม็กซิโก ในปัจจุบันมีทั้งหมด ๑๙ ท่าขนส่งที่กำลังจะเพิ่มอีก ๓๔ ท่าในอนาคต เป็นท่าเรือที่เชื่อมต่อกับสายรถไฟ ๓ สาย ภายในประเทศ ๒ สายและอีกสายเข้าสู่ประเทศสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Kansas City Railway เข้าสู่กลางใจประเทศสหรัฐฯ
คณะฯ ได้พบผู้ว่าการรัฐฯ นาม Mr. Javier Duarte de Ochoa และคณะรัฐมนตรีของรัฐฯ เพื่อแนะนำประเทศไทย และแนวทางการสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยต่างเห็นว่ามีความเป็นไปได้ในการร่วมลงทุนในภาคการเกษตร การก่อสร้าง ระบบขนส่งและการท่องเที่ยว ซึ่งผู้ว่าการฯ คนใหม่นี้ เพิ่งได้รับการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ และจะมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ๖ ปี รวมทั้งคณะผู้บริหารชุดใหม่ซึ่งมีความกระตือรือร้นในการสร้างเครือข่ายจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ว่าการฯ ได้รับปากว่าจะพยายามให้เกิดความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย โดยการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนการค้าไปเยือนในอนาคต นอกจากนี้คณะฯ ยังได้มีโอกาสพบกับกลุ่มนักธุรกิจรายสำคัญของรัฐฯ เพื่อแนะนำประเทศไทยและรับทราบศักยภาพของรัฐเวราครูซ โดยทั้งนี้ได้แนะนำ ว่าในระหว่างวันที่ ๒-๔ มีนาคม ๒๕๕๔ นี้ สอท. กำหนดจะมีการจัดสัมมนาแนะนำประเทศไทยในกรุงเม็กซิโก โดยมีผู้แทนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน การท่องเที่ยวฯ และจาก สคร. จะบรรยายศักยภาพและแนวทาง ความร่วมมือในการค้าการลงทุนและการการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ และได้เชิญชวนผู้สนใจให้มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวฯ ต่อไป
สำหรับความเห็นของสำนักงานฯ ต่อรัฐเวราครูซ นั้น เห็นว่ารัฐเวราครูซ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกติดกับอ่าวเม็กซิโก มีศักยภาพในแง่ของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เนื่องจากมีสภาพอากาศที่คล้ายคลึงกับเขตร้อนชื้น จึงมีศักยภาพทางด้านการเพาะปลูกภาคการเกษตร มีการเพาะปลูกผักผลไม้เมืองร้อน และสามารถเพาะปลูกผักผลไม้ที่สามารถส่งไปยังตลาดที่สำคัญในสหรัฐฯ ได้ง่าย เช่นลิ้นจี่ และกำลังมีการเพาะปลูกเงาะ และมังคุด ซึ่งไทยอาจใช้ประโยชน์ทางด้านความเชี่ยวชาญในการขอเข้าร่วมลงทุนการเพาะปลูกผักผลไม้เมืองร้อนเพื่อการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯ โดยมีฐานความต้องการของร้านอาหารไทยในประเทศสหรัฐฯ ได้
นอกจากนี้ ท่าเรือเวราครูซ ซึ่งถือว่าเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และมีศักยภาพที่สุดในพื้นที่ลาตินอเมริกา มีระบบโลจิสติกส์ของเส้นทางการขนส่งไปสู่ประเทศสหรัฐฯ (ภาคตะวันออก) ยุโรปและตะวันออกกลาง โดยในปัจจุบันมีการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเม็กซิโกได้แก่ รถโฟร์คสวาเก้นและนิสสัน โดยใช้ท่าเรือดังกล่าวในการขนถ่ายสินค้าไปสู่ตลาดต่างประเทศ จึงอาจมีประโยชน์ต่อการส่งออกของไทยไปสู่ประเทศใกล้เคียง เช่นในประเทศในอเมริกากลางและในประเทศในทะเลแคริปเปียน
นอกจากนี้การพัฒนาท่าเรือในช่วงต่อไป จะมีการเปิดประมูลการก่อสร้างท่าเรือในระยะต่างๆ ซึ่งจะมีการเปิดประมูลตามหลักนานาชาติ โดยภาคเอกชนไทยอาจสนใจเข้ามารวมการพัฒนาการก่อสร้างท่าเรือกับภาคเอกชนท้องถิ่นได้ ซึ่งคาดว่าจะแจ้งข้อมูลได้ประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๔ นี้ โดยสำนักงานฯ ได้แจ้งขอทราบรายละเอียดเพื่อจะส่งให้ภาคเอกขนไทยทราบต่อไป
การท่องเที่ยวของรัฐเวราครูซ ยังไม่ได้รับการพัฒนา เนื่องจากชายหาดของรัฐฯ อาจสู่เมืองชายหาดที่สำคัญของประเทศเม็กซิโกอื่นๆ ไม่ได้ แต่มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเยือนรัฐเวราครูซเฉลี่ยปีละ ๑ ล้านราย โดยร้อยละ ๘๕ เป็นนักท่องเที่ยวท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจากลาตินอเมริกาอื่นๆ
โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ โบราณสถานเก่าแก่ และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายอาจร่วมมือกันในการพัฒนาในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้ โดยในปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในรัฐฯ อยู่เพียง ๑ ร้าน ทั้งนี้ สำนักงานฯ ได้ถ่ายรูปภาพการดำเนินการมาดังแนบ
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเม็กซิโก
ที่มา: http://www.depthai.go.th