ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2554 จีนมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 1100.32 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน
การส่งออก
ระหว่างเดือน มกราคม — เมษายน 2554 จีนมีมูลค่าการส่งออก 555,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.4 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน
ตลาดส่งออกสำคัญของจีน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี สำหรับไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 19
การนำเข้า
ระหว่างเดือน มกราคม — เมษายน 2554 จีนมีมูลค่าการนำเข้า 545,020 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน
สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกล ยางพารา พลาสติก เคมีภัณฑ์ ผัก และไม้
ตลาดนำเข้าที่สำคัญของจีน ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ซึ่งไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 12 ของจีน
แม้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจีนจะชะลอตัว เนื่องจากกระแสมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน เริ่มตั้งแต่ปี 2553 เริ่มน้อยลง อัตราการเติบโตของการลงทุน การบริโภคโดยประชากรในเขตเมือง และการนำเข้า ต่างก็ชะลอลง แต่จีนยังมีภาคส่งออก การค้าระหว่างประเทศที่ป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ โดยในช่วงเดือนมกราคม — เมษายน 2554 จีนได้ดุลการค้า 10,280 ล้านเหรียญสหรัฐ
นโยบายของจีนที่สำคัญ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว คือ
1. การช่วยเร่งพัฒนาภาคเอกชน โดยเน้นที่การเปิดเสรีภาคส่วนต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้นและลดการกีดกันต่าง ๆ การเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน และการส่งเสริมนวัตกรรมด้วยการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (research and development) ในภาคเอกชน
2. การพัฒนาศักยภาพทางการค้าอย่างต่อเนื่อง โดย 3 เมืองหลัก ที่จีนมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ ดึงดูดการค้าระหว่างประเทศ และการลงทุนจากต่างชาติ ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว
3. การพัฒนาเศรษฐกิจมหภาคของจีนทั้งในและต่างประเทศ มีแนวโน้มที่ดี เป็นนโยบายยับยั้งภาวะเงินเฟ้อ ปรับปรุงโครงสร้าง และมุ่งปรับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
4. การดำเนินนโยบายการเงินที่เคร่งครัด การควบคุมการขึ้นราคาสินค้า ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและปรับปรุงโครงสร้าง
การคาดการณ์แนวโน้มการพัฒนาในปี 2554
1. อัตราเติบโตของ GDP ยังคงอยู่ในระดับสูง คาดว่าการลงทุน จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 25% และ GDP จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3%
2. ความต้องการด้านการบริโภค เพิ่มขึ้น 16.9% ซึ่งมีการชะลอตัวบางอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดตกแต่งบ้าน
3.การขยายตัวของราคาสินค้าและผู้บริโภค (CPI) จะลดลงเป็น 2.5% ซึ่งเป็นอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ
ปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าลดลง ได้แก่
1. การปรับนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
2 .การผลิตเกินความต้องการของบางอุตสาหกรรม ทำให้สินค้าล้นตลาด เกิดการแข่งขัน มีผลให้เกิดแรงกดดันในการลดราคา
3. ผลิตผลการเกษตรสำคัญ เช่น ข้าวและเนื้อหมู มีความเพียงพอในการสนองตลาด อาหารและผักจะไม่ขึ้นราคาอย่างฉับพลัน
4. ความต้องการบริโภคที่ลดลง เป็นปัจจัยยับยั้งการขึ้นราคาสินค้า
ที่มา: http://www.depthai.go.th