ธุรกิจ ศัลยกรรม และความงาม ในจีน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 15, 2011 14:16 —กรมส่งเสริมการส่งออก

สำหรับประเทศจีนแล้ว ในยุคของสังคมนิยมเมื่อ 20 ปีก่อน คนจีนอดอยาก ดิ้นรนเพื่อเลี้ยงชีพ และ ยังคงยึดแนวความคิดดั้งเดิม เคร่งครัดอยู่ในกรอบจารีตประเพณี แต่งตัวเรียบร้อยไม่มีสีสัน ถ้าหากมีใครเคยไปประเทศจีนในยุคนั้น จะพบว่าทั้งผู้ชาย ผู้หญิงแต่งชุดเทาสีเดียว สำหรับผู้หญิงคงยังไม่รู้จักคำว่าลิปสติค ยิ่งในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมใหญ่ 10 ปี คือตั้งแต่ 1966 ถึงปี 1976 ถ้าใครแต่งตัวมีสีสัน อาจจะโดนข้อหาพวกทุนนิยม มีโทษจำคุก

แต่หลังจากเปิดประเทศปี 1978 เป็นต้น คนจีนซึ่งไม่เคยสัมผัสวัฒนธรรมตะวันตกมาก่อน เมื่อได้มาพบเจอจึงไม่สามารถแยกแยะความหนักเบาเหมาะสมได้ ส่งผลให้คนจีนโดยเฉพาะสาวๆได้พยายามเลียนแบบแต่งตัวเปรี้ยวยิ่งกว่าทุกชาติ สำหรับสาวจีนคงไม่มีใครไม่รู้จัก สายเดียว โชว์สะดือ รองเท้าส้นตึก และนอกจากแต่งตัวเพื่อให้ตัวเองดูดีแล้ว ยังต้องมาเสียเงินนับหมื่นนับแสนทำศัลยกรรมเสริมสวยเพื่อแลกกับโศกนาฎกรรมเสียโฉมบ้าง หรือความสมหวังบ้างซึ่งแล้วแต่กรณี

ปัจจุบันที่ประเทศจีนมีร้านทำศัลยกรรม เสริมสวยถึง 1,540,000 ร้าน มูลค่าต่อปี 168,000 ล้านหยวน คิดเป็น 1.8 % ของผลผลิตมวลรวม ซึ่งยอดจำหน่ายเครื่องสำอางถึง 160,000 ล้านหยวนและเติบโต 20 % ต่อปี

ในช่วงแรกนั้นธุรกิจร้านศัลยกรรมเสริมสวยยังมีไม่มากนักเนื่องจากการขาดประสบการณ์ เพิ่งมาบูมมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และหลายร้านมีเครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมแพทย์ที่มีประสบการณ์ดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันมีร้านบางแห่งที่กฎหมายไม่รับรองอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีประชาชนให้ความสนใจที่จะใช้บริการร้านนั้นๆ โดยร้านดังกล่าวไม่ได้คำนึงถึงผู้บริโภคหากแต่ต้องการแค่เงินเพียงอย่างเดียว

ราคาการทำศัลยกรรมเสริมสวยนับว่าแพงมาก ถ้าลูกค้าต้องการทำรายการทุกอย่างราคาจะอยู่ที่ประมาณ 400,000 หยวน หรือเท่ากับ 2 ล้านบาท ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างแพง แต่บรรดาหญิงสาวก็ยินดีจะจ่ายเพื่อแลกกับความสวย ที่ผ่านมาคนที่ผ่านการทำศัลยกรรมส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จ สามารถทำให้หน้าตาของบุคคลนั้นเปลี่ยนไปอีกบุคคลหนึ่งได้อย่างเหลือเชื่อ เคยมีกรณีของสองคนถือหนังสือเดินทางที่เป็นรูปเดิมผ่านด่านศุลกากรเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ต้องมาเสียเวลาพิสูจน์ เพราะว่าตัวจริงกับรูปในหนังสือเดินผิดกันราวฟ้ากับดิน ที่มณฑลเสฉวนเมื่อปีก่อนมีการประกวดนางงาม คนที่ได้ชนะเลิศคือผู้หญิงที่ผ่านการทำศัลยกรรม สุดท้ายคณะกรรมการถูกตำหนิจากหลายฝ่าย ทำให้ต้องถอดถอนตำแหน่งในภายหลัง อีกรายหนึ่งก่อนทำศัลยกรรมหน้าตาไม่สวยเลย แต่หลังจากทำศัลยกรรมไปเปลี่ยนเป็นคนอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นแทบจะในทันทีมีหนุ่มมาชอบและสุดท้ายได้แต่งงานกัน แต่หลังสามีรู้ความจริง ก็ขอหย่าในทันที การทำศัลยกรรมที่ประสบความสำเร็จก็มีแต่ต้องผิดหวังก็มีมายอยู่เหมือนกัน มีหลายรายที่ทำศัลยกรรมเสริมทรงอกสุดท้าย ทำให้เต้านมเน่าเสียต้องตัดทิ้ง กลายเป็นคดีฟ้องศาล แต่อย่างไรก็ดีธุรกิจการทำศัลยกรรมเสริมสวยที่จีนกำลังเติบโต เพราะว่ารายได้จากธุรกิจเสริมสวยและร้านขายเครื่องสำอางถือได้ว่ายังเติบโตต่อไปได้อีก ถ้าเป็นร้านทำศัลยกรรมเสริมสวยที่ค่อนข้างมีมาตรฐานนั้นราคานับว่าแพงมาก ในประเทศจีนร้านแทบทุกร้านกำหนดราคาพอๆกันและติดประกาศราคาอย่างชัดเจน โดยราคาจะอยู่ในอัตราพอๆกัน โดยการทำตาสองชั้นจะอยู่ที่ 1,600 หยวนจัดการรอยเหี่ยวย่นจะอยู่ที่ 3,200 หยวน ทำคิ้วโก่ง 2,000 หยวน เสริมดั้ง 8000 ทำทรวงอก 20,000 เสริมริมฝีปากให้อวบอิ่ม 3,500 หยวน ดูดไขมันหน้าท้อง 2,500 หยวน ลดสิวกระฝ้าอยู่ระหว่าง 4,000 ถึง 8,000 หยวน แม้กระทั้งฉีดยาชาแค่เข็มเดียวยังมีราคาสูงถึง 2,000 หยวน

โอกาสการลงทุนของธุรกิจศัลยกรรมและความงามไทยในจีน

ตลาดธุรกิจศัลยกรรมในไทยมีมูลค่า 11,000 ล้านบาท มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 10% เป็นธุรกิจที่มีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมากเนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนมาก เช่น กระแสความนิยมจากต่างประเทศ การหันมาเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้นเนื่องมีแนวคดด้านการเสริมความงามที่เปลี่ยนไปจากเดิม ขยายตลาดเนื่องจากในจีนมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูง และยังมีช่องทางในส่วนของตลาดเสริมความงาม มีอำนาจการต่อรองเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้นจากตลาดในจีน เป็นธุรกิจที่นักลงทุนสามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจได้ง่าย เนื่องจากธุรกิจไม่ซับซ้อน เป็นธุรกิจที่ชำระค่าบริการเป็นเงินสด ทำให้สามารถนำเงินมาใช้หมุนเวียนในธุรกิจ เช่น การซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้และวัตถุดิบที่ใช้ในการเสริมความงามได้ ประเทศไทยมีความหลากหลายทางด้านสมุนไพรไทย ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการให้บริการด้านความงามได้ แพทย์ไทยมีฝีมือและได้รับการยอมรับจากต่างระเทศในด้านศัลยกรรม

จำนวนประชากรที่มีมากถึง 1.3 พันล้านคน ทำให้จีนเป็นตลาดของผู้บริโภคที่ใหญ่มากดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุน การสำรวจ อันดับศูนย์กลางการผ่าตัดเสริมความงามที่เพิ่มขึ้น 25 ประเทศทั่วโลก เผยให้เห็นถึงลำดับชั้นของประเทศจีนที่มีการเสริมความงามด้วยการผ่าตัดและไม่ใช้การผ่าตัดมากที่สุด เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา

โดยจากสถิติพบว่า ธุรกิจด้านความงามมีการเติบโตอย่างรวดเร็วถึงปีละ 30% ในปี 2005 มูลค่าของธุรกิจความงามในจีนอยู่ที่กว่า 400,000 ล้านหยวน จัดเป็นอันดับ 8 ของโลก ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียก็เป็นรองแค่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนในปี 2006 เพียงแค่ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับความงามก็มีมูลค่าที่มากถึง 200,000 ล้านหยวนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มอีกเท่าตัวภายในระยะเวลา 5 ปี กลุ่มบุคคลที่เป็นผู้บริโภคหลักในธุรกิจประเภทนี้มักกระจุกตัวอยู่ตามเมืองใหญ่และเขตตามแนวชายฝั่ง การเติบโตของอุตสาหกรรม จีนมีธุรกิจด้านศัลยกรรมเสริมความงามประมาณ 1,000,000 แห่ง ในจำนวนนี้เกือบทั้งหมดบริการโดยไม่ได้มาตรฐานมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา ผู้หญิงจีนได้รับอันตรายจากศัลยกรรมเสริมความงามมากกว่า 200,000 คน จีนได้เปิดประเทศเพื่อการพัฒนา ทำให้วัฒนธรรมตะวันตกเข้าสู่จีนมากขึ้น ผู้หญิงจีนรุ่นใหม่จะได้รับอิทธิพลด้านความงามจากสื่อต่างๆ มากมายโดยเฉพาะนิตยสารต่างประเทศและภาพยนตร์ จึงได้นิยมไปทำศัลยกรรมเสริมความงามกันมากยิ่งขึ้น

จากข้อมูลของโรงพยาบาลศัลยกรรมเสริมความงามแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง พบว่าในแต่ละวันมีผู้หญิงเข้ามาบริการผ่าตัดเสริมความงามมากกว่า 200 คน ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าจากอดีต กลุ่มที่ต้องการเข้ามาฟื้นฟูเรื่องของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของใบหน้าคือกลุ่มสำคัญที่สุดของธุรกิจทางด้านความงาม เริ่มที่อายุ 30 ปีต้นๆ ถึงกลุ่มคนช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป กลุ่มแสวงหาเป็นกลุ่มคนที่มีหรือไม่มีปัญหาในเรื่องผิวหน้าก็ได้ แต่มีปัญหาในเรื่องความไม่พอใจหน้าตา และรูปร่างของตัวเองที่มีอยู่ เช่นต้องการผ่าตัดตา 2 ชั้น ต้องการทำจมูกทำคางให้เรียวเล็ก เสริมหน้าอก หรือกระชับสัดส่วน กลุ่ม Look Good for personality ต้องการให้ตัวเองดูดี กลุ่มที่ต้องการเสริมความมั่นใจให้กับตัวเอง

แนวโน้มของกลุ่มลูกค้าในจีนที่นิยมเสริมความงามและบำรุงผิวพรรณกำลังหันไปสู่ทิศทางใหม่ จากกลุ่มผู้หญิง วัย 35-45 ปี เป็นสาวรุ่นเยาว์วัย 20-30 ปี ที่มีทัศนคติใหม่ในการใช้ชีวิต เปิดโอกาสให้ธุรกิจสปาและเสริมความงามของไทยได้เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ในจีนได้มากยิ่งขึ้น

หนังสือพิมพ์ China Daily ของจีน รายงานว่า กลุ่มลูกค้าหลักที่นิยมไปใช้บริการยังสถานเสริมความงามและบำรุงผิวพรรณในจีนมีแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ โดยเปลี่ยนจากผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งป็นกลุ่มที่มีหน้าที่การงานดี หรือแม่บ้านจากครอบครัวที่มีฐานะดี มาสู่กลุ่มสาวรุ่นเยาว์ที่หันมาให้ความสนใจในเรื่องรูปร่างหน้าตา และใส่ใจสภาพของผิวพรรณตั้งแต่วัยสาว จนถึงขนาดที่ต้องการใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสปาเสริมความงามและสุขภาพ Decleor Health and Beauty Spa ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเสริมความงานระดับไฮเอ็นด์ที่มีสาขาในจีนกว่า 100 แห่งใน 40 เมืองทั่วจีน เปิดเผยว่า ปัจจุบันช่วงอายุของกลุ่มผู้นิยมใช้บริการสปาและสถานเสริมความงามในจีน ลดลงจากกลุ่มผู้หญิงอายุ35-45 ปี มาเป็นกลุ่มหญิงสาววัย 20-30 ปีที่หันมาใช้บริการด้านสปาและการบำรุงผิวพรรณมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และลูกค้าที่มาใช้บริการบ่อย จะเข้ามาทุกๆ 2 วัน/ ครั้ง ครั้งละ 80-100 นาที ราคาครั้งละ 600 หยวน

ส่วน I SPA ธุรกิจสปาไฮเอ็นสไตล์ไทยในกรุงปักกิ่ง เปิดเผยว่า ลูกค้าผู้หญิงกลุ่มผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของกิจการที่มาใช้บริการ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุระหว่าง 28-45 ปี โดยจะมารับบริการบำรุงผิวหน้าและผิวตัว

ข้อมูลข้างต้นสอดคล้องกับรายงานของสมาคมทรงผมและเสริมความงามของจีน (China Hairdressing and Beauty Association) ที่คาดว่า ผู้บริโภคหลักของธุรกิจและผลิตภัณฑ์เสริม ความงามและเครื่องสำอาง จะผันสู่กลุ่มผู้ที่มีอายุ 20-30 กว่าปี (หรือผู้ที่เกิดในช่วงปีค.ศ. 1980-1999) ซึ่งมีทัศนคติในการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป สาว ๆ รุ่นใหม่เหล่านี้มองว่า การลงทุนในด้านรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณที่ดูดี เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดคุณค่าและคุณภาพชีวิตของตน แทนตัววัดเดิมประเภทความมั่งคั่ง

ปัจจุบันธุรกิจเสริมความงานในประเทศจีนได้รับความนิยมมาก และมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ลดน้ำหนัก ศูนย์ศัลยกรรมเสริมความงาม การนวดแผนโบราณ และสปา ซึ่งเมืองไทยมีชื่อเสียงในด้านนี้เป็นอย่างมาก โดยในปัจจุบันธุรกิจการนวดแผนโบราณแบบไทยในจีน มีคนไทยดูแลกิจการ แต่ไม่ใช่ธุรกิจของไทยทั้งหมด และในปัจจุบันกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ก็ได้เร่งผลักดันในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการลงทุนในจีนอีกทางหนึ่งด้วย

เจาะตลาดธุรกิจศัลยกรรมในจีน

เพราะรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรจีนนั้นสูงขึ้นทุกวัน สัดส่วนของผู้สูงอายุก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากยังเป็นกลุ่มประชากรก่อนนโยบายการมีบุตรคนเดียว อีกทั้งจีนก็ยังเป็นประเทศที่มีชาวต่างชาติเข้าลงทุนเป็นจำนวนมากและบรรดานักธุรกิจเหล่านี้ต่างก็ต้องการได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับสูง แต่ด้วยความที่ก่อนหน้านี้จีนมัวแต่มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจจึงทำให้ระบบการรักษาพยาบาลในจีนยังไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร ประเทศไทยของเราเองก็ขึ้นชื่อว่ามีระบบการรักษาพยาบาลที่เป็นอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจด้านศัลยกรรมความงามที่ยังไงแพทย์ไทยก็ไม่แพ้แพทย์จีนอย่างแน่นอน จึงเป็นโอกาสดีที่โรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจศัลกรรมของไทยจะเข้าไปเจาะตลาดในจีนแห่งนี้

ปัจจุบันชาวจีนให้ความใส่ใจในเรื่องของสุขภาพที่นอกเหนือจากแค่การรักษาพยาบาลมากขึ้น เพราะถือเป็นวิธีรักษาสุขภาพและผ่อนคลายความตึงเครียดที่ดีหลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักลงทุนชาวไทย เพราะประเทศของไทยนั้นก็ขึ้นชื่อเรื่องธุรกิจบำบัดสุขภาพทำนองนี้อยู่แล้ว อีกทั้งการที่ไทยเป็นแผ่นดินที่อุดมไปด้วยสมุนไพรและดอกไม้นานาชนิดทำให้เรื่องเครื่องหอมของไทยก็ไม่เป็นรองชาติใดเช่นกัน การทำธุรกิจจำพวกการจับเส้น นวดฝ่าเท้า นวดตัว อบตัว สปาสมุนไพรจึงเป็นอีกช่องทางทำเงินอีกช่องทางหนึ่งได้ ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นอีกด้วย

กลุ่มลูกค้าที่ต้องการบริการศัลยกรรมตกแต่ง ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการให้บริการศัลยกรรมตกแต่งค่อนข้างสูง ทั้งการทำศัลยกรรมเพื่อลดปมด้อย ลดความผิดปกติ หรือ เสริมสัดส่วนภายในร่างกายให้ดูดีหรือสวยงามขึ้น ซึ่งแล้วแต่วัตถุประสงค์เฉพาะบุคคล เช่น การเสริมจมูก ทำตา เสริมคาง เสริมทรวงอก ดูดไขมัน และผ่าตัดแปลงเพศเป็นต้น โดยที่ผ่านมา ทักษะฝีมือของแพทย์ไทย เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ประการสำคัญ การทำศัลยกรรมของไทย ยังช่วยให้คนไข้สามารถประหยัดค่าจ่ายลงไปได้มาก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย ในการใช้บริการของประเทศอื่นๆ

เป็นที่น่าสังเกตว่า การให้บริการคนไข้ชาวต่างชาตินั้น มิได้จำกัดอยู่เพียงโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ธุรกิจประเภทเอสเอ็มอี หรือผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม ก็มีความสามารถที่จะมีส่วนร่วมในการให้บริการลูกค้าในกลุ่มนี้ได้เช่นเดียวกัน อาทิ คลินิกศัลยกรรมตกแต่ง ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ธุรกิจบริการรับจัดส่ง แม่บ้าน พี่เลี้ยง หรือพยาบาล สำหรับเด็ก และผู้สูงอายุ ที่เจ็บป่วย หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สำหรับชาวต่างชาติที่พักอาศัย ทำงาน หรือเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นระยะเวลานานๆในจีน หรือธุรกิจนำเที่ยว เชิงสุขภาพเพื่อขายโปรแกรมท่องเที่ยวที่เน้นบริการด้านสุขภาพควบคู่ไปกับการพักผ่อน เช่น โปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพ และโปรแกรมลดความเครียด รวมทั้งการตรวจสุขภาพ โดยพักในโรงแรม ระดับ 5 ดาว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ที่สามารถนำมาให้บริการกับคนไข้ชาวต่างชาติและผู้ติดตาม อาทิ ธุรกิจสปา ธุรกิจร้านเสริมความงาม ธุรกิจนวดแผนไทย ธุรกิจสมุนไพรไทย ธุรกิจด้านที่พักในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เข้ามารองรับตลาดครอบครัวคนไข้ชาวต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ครอบครัวที่ ติดตามคนไข้เข้ามา และต้องการพักอาศัยอยู่ใกล้ๆกับโรงพยาบาล เป็นต้น

สำหรับแนวทางปฏิบัติของผู้สนใจในการทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ เพื่อรองรับลูกค้าชาวจีนและชาวต่างชาตินั้น จำเป็นต้องศึกษาปัจจัยในหลายๆด้าน เพื่อธุรกิจจะได้สามารถดำเนินไปด้วย ความราบรื่น และประสบผลสำเร็จ ซึ่งประกอบไปด้วย

ทำเลที่ตั้ง การจะดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับลูกค้า ควรเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อาทิ ตามแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม ทำเลที่เหมาะสมอีกแห่งก็คือ พื้นที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม ที่มีชาวต่างชาติ เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลทำให้มีชาวต่างชาติพักอาศัยอยู่พอสมควร

การซื้ออาคารหรืออสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนเพื่อเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในจีน ราคาของอาคารทั่วไป ตารางเมตรละประมาณ 1-2 หมื่น หยวน หรือประมาน 5 หมื่นถึงหนึ่งแสนบาท ค่าตกแต่งภายตัวอาคารที่มีขนาดไม่เกิน 60-70 ตารางเมตร ประมาณ 4-5 หมื่นหยวน หรือประมาณ 2-2.5 แสนบาท ถ้าขนาดพื้นที่ของอาคารน้อยกว่า 90 ตารางเมตร ต้องวางเงินดาวน์ 20% ถ้าขนาดพื้นที่อาคารเกิน 90 ตารางเมตร ต้องวางเงินดาวน์ 30% ของราคาทั้งหมด

บุคลากร เป็นส่วนสำคัญที่จะบ่งชี้ถึงความสำเร็จของการเปิดดำเนินธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันบุคลากร พนักงานสปา และนวดแผนไทย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดในจีน ซึ่งหากเป็นผู้ที่มีทักษะฝีมือ จะเป็นที่ต้องการของธุรกิจอย่างมาก

บุคลากรในประเภทนี้สามารถจะเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศจีนได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีวีซ่าทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับสวัสดิการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับค่าจ้างตามที่ตกลงไว้และโดย โดยกฎระเบียบการลงทุนของบริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีน บริษัทต้องมีเงินลงทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 3 ล้านหยวน หรือประมาณ 15 ล้านบาท ขึ้นไป ถึงจะสามารถ รับบุคลากรหรือแรงงานที่มีความรู้หรือประสบการณ์เฉพาะทางเข้ามาทำงานในบริษัทของตนได้ 1-2 คน

กฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทางการจีนที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลจีนได้บัญญัติกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองและประกันคุณภาพชีวิตแรงงาน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการไม่เลือกปฏิบัติในที่ทำงาน กำหนดเวลาทำงาน ค่าจ้าง ความปลอดภัยในการทำงาน การประกันสังคม และกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงาน

ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับชาวต่างชาติทำงานในจีน

มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2539 กำหนดว่า ชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงานที่ทางการจีนออกให้ถึงจะสามารถทำงานในประเทศจีนได้ และชาวต่างชาติต้องมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดของรัฐบาลจีนถึงจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอใบอนุญาตทำงาน ดังนี้

  • อายุ 18 ปี บริบูรณ์
  • มีทักษะที่จำเป็นและประสบการณ์ทำงาน
  • ไม่มีประวัติการทำผิดทางกฎหมาย
  • มีสัญญาจ้างงานกับหน่วยงานหรือบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศจีนแล้ว
  • มีหนังสือเดินทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ปัจจุบัน ขั้นตอนปฏิบัติในการทำงานในจีนของชาวต่างชาติมีดังนี้

  • ตรวจสุขภาพ (จากโรงพยาบาลในประเทศของตนหรือโรงพยาบาลในประเทศจีน)
  • ขอใบอนุญาตทำงาน
  • ขอวีซ่าทำงานจาก สอท. จีนในต่างประเทศ โดยต้องมีหนังสือเชิญจากนายจ้างประกอบ
  • ขึ้นทะเบียนใบพำนักในประเทศจีน (ติดต่อสำนักงาน Exit-Entry Administration Bureau of the Ministry of Public Security ของแต่ละพื้นที่)
ข้อควรคำนึงในการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศจีน

1. ต้องมั่นใจว่าสินค้าและบริการโดดเด่นพอที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ เพราะนอกจากต้องขับเคี่ยวกับนักธุรกิจชาวจีนที่เป็นเจ้าถิ่นแล้ว ยังมีคู่แข่งเป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติที่เข้าไปลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก

2. ควรเลือกที่จะเจาะเฉพาะพื้นที่ที่คิดว่าเหมาะสมไปเลยจะดีกว่าการที่มุ่งกระจายสินค้าไปตามที่ต่างๆ เพราะจีนมีภูมิประเทศที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน ซึ่งส่งผลให้ต้องเสียค่าคมนาคมขนส่งเป็นจำนวนมาก

3. รู้กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นต้องมีเส้นสายและสัมพันธ์อันดีกับบุคคลสำคัญในพื้นที่อีกด้วยเพราะนอกจากเจ้าหน้าที่จีนจะมักใช้ดุลยพินิจส่วนบุคคลแล้ว กฎหมายส่วนใหญ่ก็ยังเอื้อต่อคนในชาติเสียมากกว่า

4. เลือกหุ้นส่วนอย่างรอบคอบ และมีการบันทึกการตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะมีนักธุรกิจชาวจีนจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะญาติดีกับนักธุรกิจต่างชาติก่อนที่จะกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตนทันทีในภายหลัง

5. สินค้าควรเป็นสินค้าที่มีเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง และที่สำคัญขั้นตอนการผลิตควรเก็บเป็นความลับเพราะไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องไปทำการตลาดแข่งกับสินค้าของเจ้าถิ่นที่เหมือนกันทุกประการ

6. ต้องรู้ภาษาจีน หรือมีล่ามที่ไว้ใจได้ เพราะมันจะช่วยให้การประกอบธุรกิจง่ายขึ้น และที่สำคัญต้องหมั่นไปเยี่ยมชมกิจการที่จีนด้วยตนเอง อย่าปล่อยให้หุ้นส่วนในจีนเป็นผู้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียว

7. แม้ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงไร แต่จีนก็ยังนับว่าเป็นชาติที่ยึดถือเรื่องสิริมงคล และโชคลางเป็นที่สุด ฉะนั้นการที่คุณมุ่งทำธุรกิจกับนักลงทุนชาวจีน จำเป็นต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาด้วย

8. แม้จะมีประชากรเยอะ แต่จีนก็ยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ดี ซึ่งแรงงานในที่นี้ก็คือแรงงานระดับปัญญาชนนั่นเอง

เรียบเรียงโดย สคต.เซี่ยเหมิน

ที่มา: http://www.depthai.go.th


แท็ก ประเทศจีน  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ