ความคืบหน้ากรณีรัฐบาลอินเดียผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกจากต่างประเทศ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 29, 2011 13:27 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ตามที่คณะรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียได้มีมติเห็นชอบให้ผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) โดยอนุญาติให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Single-Brand Retailers สามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในประเทศอินเดียจาก 51% เป็น 100% และบริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Multi-Brand Retailers สามารถเข้าไปถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในประเทศอินเดียได้ 51% จากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินเดียไม่อนุญาตให้เข้าไปประกอบธุรกิจในอินดียเลย ยกเว้นเฉพาะบริษัทค้าส่งต่างชาติ (Wholesaling Business) เท่านั้นที่สามารถเข้าไปประกอบธุรกิจได้ ซึ่งจากมติ ครม. ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสทั้งสนับสนุนและต่อต้านทั่วไปในประเทศอินเดีย รวมทั้งมีการเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของอินเดียซึ่งเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการผ่อนคลายระเบียบครั้งนี้

การเมืองอินเดียป่วน

พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคในอินเดียรวมตัวกันคัดค้านการตัดสินใจของรัฐบาล ด้วยเกรงว่าการผ่อนคลายระเบียบการลงทุนดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้ร้านค้าปลีกขนาดย่อมของอินเดีย (Kirana) ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมายมหาศาลทั่วประเทศอินเดียจะสูญหายไปจากตลาด ซึ่งย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมาด้วย การคัดค้านดังกล่าวนำโดยมุขมนตรีของรัฐเบงกอลตะวันตก (พรรค Trinamool Congress) โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านอื่นด้วย เช่น พรรค BJP (Bharatiya Janata Party) ฯลฯ นอกจากนี้ พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรค DMK (Dravida Munnetra Kazhagam) ก็ยังออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้ ได้มีการพาดพิงถึงนายราหุล คานธี เลขาธิการพรรรค Indian National Congress ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลว่านายราหุลได้มีส่วนสำคัญในการผลักดันเรื่องการผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกจากต่างประเทศในครั้งนี้ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวกชาวต่างชาติของนายราหุลที่เป็นเจ้าของบริษัทค้าปลีกต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกจากต่างประเทศดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับรัฐต่างๆว่าจะอนุญาตหรือไม่ ในเบื้องต้นรัฐบาลกำหนดว่าบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะสามารถเปิดได้ในเมืองที่มีประชากรตั้งแต่ 1 ล้านคนขึ้นไป ซึ่งจากสำมะโนประชากรปี 2554 มีเมืองที่อยู่ในข่ายจำนวน 46 เมือง แต่คาดว่าจะมีถึง 25 เมืองที่รัฐบาลของรัฐจะไม่อนุญาตให้ดำเนินการได้ ซึ่งก็เป็นเมืองที่อยู่ในรัฐที่ปกครองโดยพรรค BJP ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ได้แก่ รัฐอุตตรประเทศ (เมือง Meerut เมือง Ghaziabad เมือง Agra เมือง Lucknow เมือง Kanpur เมือง Allahabad และเมือง Varanasi) รัฐเบงกอลตะวันตก และรัฐพิหาร รวมทั้งรัฐที่ปกครองโดยพรรคฝ่ายค้านอื่น เช่น รัฐทมิฬนาฑู ซึ่งปกครองโดยพรรค AIADMK (All India Anna Dravida Munnetra Kazhagam) เมืองที่มีแนวโน้มจะคัดค้านนโยบายผ่อนคลายนี้ ได้แก่ เมืองบังกาลอร์ เมืองเจนไน เมืองมาดูไร (Madurai) เมืองโคอิมบาตอร์ (Coimbatore) เมืองอาเมอดาบัด (Ahmedabad) และวาโดดารา (Vadodara) ดังนั้น บริษัทค้าปลีกต่างชาติจึงต้องมุ่งไปที่รัฐซึ่งปกครองโดยพรรครัฐบาล เช่น รัฐมหาราษฎระ รัฐราชสถาน รัฐหรยาณา และรัฐอานธรประเทศ รวมทั้งรัฐที่ปกครองโดยพรรคฝ่ายค้านบางรัฐที่สนับสนุนนโยบายนี้ คือ รัฐคุชราต รัฐปัญจาบ และรัฐโอริสสา โดยภาพรวมแล้ว รัฐมหาราษฏระจะเป็นรัฐที่บริษัทค้าปลีกต่างชาติให้ความสนใจมากที่สุด เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของอินเดีย มีประชากรที่เป็นชนชั้นกลางจำนวนมากในเมืองมุมไบและเมืองปูเน รวมทั้งมีเมืองที่มีประชากรเกิน 1 ล้านคนที่บริษัทค้าปลีกต่างชาติสามารถเข้าไปเปิดดำเนินการได้

ประชาชนสับสนกับข้อกำหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติจัดซื้อจาก SMEs ไม่น้อยกว่า 30%

ข้อกำหนดของรัฐบาลให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Multi-Brand Retailers ที่เข้าไปลงทุนในอินเดียจะต้องจัดซื้อจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมไม่น้อยกว่า 30% นั้น ได้ก่อให้เกิดความสับสนขึ้นทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชนทั่วไป โดยยังไม่มีความชัดเจนว่าข้อกำหนดดังกล่าว บริษัทค้าปลีกต่างชาติต้องจัดซื้อจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของอินเดียเท่านั้น หรือว่าสามารถจัดซื้อได้จากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจากที่ไหนในโลกก็ได้

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จาก Department of Industrial Policy and Promotion ของอินเดียได้ ออกมาระบุว่าการที่รัฐบาลต้องออกมาประกาศว่าบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะต้องจัดซื้อจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจากที่ไหนในโลกก็ได้ เนื่องจากรัฐบาลเกรงว่าการสร้างข้อกำหนดดังกล่าวจะกลายมาตรการกีดกันทางการค้าที่ขัดกับบทบัญญัติใน Article III ภายใต้ GATT (General Agreement on Tariffs & Trade) ที่ระบุว่าทุกประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) จะต้องปฏิบัติต่อประเทศสมาชิกด้วยกันด้วยความเป็นธรรม (National Treatment) ในการออกระเบียบ กฏเกณฑ์ กฎหมาย และนโยบายภาษีภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับการค้าภายใน การจัดซื้อ การขนส่ง และการกระจายสินค้า ซึ่งประเด็นนี้ยังเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันอีกและจะเป็นจุดอ่อนให้พรรคฝ่ายค้านโจมตีว่านโยบายของรัฐบาลกำหนดขึ้นมาเพื่อทำร้ายผู้ประกอบการขนาดย่อมของอินเดีย (Kirana) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก

การผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกจากต่างประเทศส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทค้าปลีกพุ่งขึ้น

การตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ได้รับการสนองตอบจากภาคเอกชนและนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทค้าปลีกอินเดียในตลาดหลักทรัพย์ขึ้นสูงทุกราย โดยเฉพาะหุ้นของบริษัท Pantaloon Retail (India) มีราคาเพิ่มขึ้น 16.67% ทำให้ราคาต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 234.05 รูปี ส่วนของบริษัท Trent ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกในเครือ Tata Group ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 8.40% เป็น 1,058.45 รูปีต่อหุ้น ทั้งนี้ เนื่องจาก นักลงทุนคาดว่าจะมีเงินลงทุนจากบริษัทค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ๆ เช่น Wal-Mart, Tesco, Carrefour ฯลฯ ไหลเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกท้องถิ่นดังกล่าว

บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของอินเดียขยับตัวเตรียมจับมือกับยักษ์ใหญ่ค้าปลีกต่างชาติ

บริษัท Bharti Enterprises เป็นบริษัทค้าปลีกอินเดียบริษัทแรกที่เตรียมปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยแต่เดิมบริษัทฯ ได้มีการร่วมทุน (Joint Venture) กับยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกของโลก คือ บริษัท Wal-Mart มาตั้งแต่ปี 2550 ในธุรกิจค้าส่งซึ่งกฎหมายอินเดียอนุญาตให้ทำได้ โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าวเป็นผู้จัดส่งสินค้า (Supplier) ให้กับร้านค้าปลีก Easy Day ของบริษัท Bharti Enterprises และจัดตั้งห้างประเภท Cash & Carry ชื่อ Best Price จำนวน 14 สาขาในประเทศอินเดีย ทั้งนี้ การร่วมทุนครั้งใหม่ระหว่างบริษัท Bharti Enterprises กับ Wal-Mart จะเป็นการร่วมทุนเพื่อเปิดห้างค้าปลีกภายใต้ชื่ออื่นที่ไม่ใช่ Wall-Mart โดยใช้รูปแบบค้าปลีกแบบอินเดีย (Indian Model) ทั้งนี้ การเปิดห้างค้าปลีกของ Wal-Mart ในประเทศต่างๆที่ผ่านมามักจะใช้ชื่ออื่นเกือบ 90% เช่น Walmex ในประเทศเม็กซิโก Asda ในอังกฤษ และ Seiyu ในประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนั้นก็มีบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของอินเดียที่กำลังเจรจากับบริษัทค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่อยู่ เช่น บริษัท Videocon Group เจ้าของห้างค้าปลีกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคคส์ Next กำลังเจรจาอยู่กับบริษัท Best Buy ของสหรัฐอเมริกา, บริษัท Future Group เจ้าของห้าง Pantaloon และ Big Bazaar กำลังเจรจาอยู่กับบริษัท Carrefour ของฝรั่งเศส, บริษัท Spencer's Retail กำลังวางแผนที่จะหาหุ้นส่วนต่างชาติเพื่อเปิดกิจการ Hypermarket รวมทั้งจะทบทวนสัญญากับบริษัท Au Bon Pain ของสหรัฐอเมริกาเพื่อเปลี่ยนจากระบบแฟรนไชส์เป็น Joint Venture และ Shoppers Stop ซี่งมีห้างสรรพสินค้า (Department store) ภายใต้ชื่อ Shoppers Stop จำนวน 43 แห่ง และ Hypermarket ภายใต้ชื่อ Hypercity จำนวน 10 แห่ง รวมทั้งร้านค้าประเภท Specialty Store อีกหลายแห่ง ก็พร้อมที่จะเจรจากับบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ต่างชาติทุกรายเพื่อขยายธุรกิจค้าปลีกออกไปอีก

สำหรับบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของโลกประเภท Single-Brand Retailers ก็ให้ความสนใจที่จะเข้าไปขยายธุรกิจค้าปลีกในอินเดียเช่นกัน เนื่องจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลอินเดียบริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Single-Brand Retailers สามารถถือหุ้นได้ถึง 100% แล้ว บริษัทเหล่านี้ ได้แก่ H&M, IKEA, Apple เป็นต้น

                   Brands                ประเทศ
          H&M                             สวีเดน
          IKEA                            สวีเดน
          Uniglo                           ญี่ปุ่น
          Topshop                         อังกฤษ
          GAP                          สหรัฐอเมริกา
          Banana Republic              สหรัฐอเมริกา
          Polo Ralph Lauren            สหรัฐอเมริกา
          Abercrombie & Fitch          สหรัฐอเมริกา
          Apple                        สหรัฐอเมริกา
          RadioShack                   สหรัฐอเมริกา
          Best Buy                     สหรัฐอเมริกา

ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทย

1. การเปิดเสรีการค้าปลีกของอินเดียในครั้งนี้มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย แต่แนวโน้มน่าจะส่งผลกระทบในเชิงบวก เนื่องจากบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของอินเดีย ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในทางการเมืองด้วยน่าจะมีส่วนผลักดันให้เกิดการค้าปลีกเสรีขึ้น อย่างน้อยที่สุดการผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกต่างชาตินี้ น่าจะบรรลุผลในรัฐที่พรรครัฐบาลปกครองอยู่ เช่น รัฐมหาราษฎระ รัฐราชสถาน รัฐหรยาณา และรัฐอานธรประเทศ รวมทั้งบางรัฐที่แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคฝ่ายค้าน แต่มุขมนตรีบางรัฐก็สนับสนุนแนวนโยบายนี้ เช่น รัฐคุชราต รัฐปัญจาบ และรัฐโอริสสา ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าภาคเอกชนของไทยพร้อมสำหรับการเข้าตลาดค้าปลีกของอินเดียแค่ไหน จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้น คาดว่าการเข้าตลาดค้าปลีกอินเดียโดยบริษัทค้าปลีกของไทยน่าจะมีโอกาสสำหรับบริษัทที่เป็น Single-Brand Retailers

2. ประเด็นที่น่าติดตามต่อไป คือ ประเด็นเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของรัฐบาลอินเดีย โดยเฉพาะการกำหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในอินเดียต้องจัดซื้อสินค้าจาก SMEs อย่างน้อย 30% ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็น SMEs ของอินเดีย หรือ SMEs ที่ใดในโลกก็ได้ รวมทั้งมาตรการอื่นๆ ที่อาจจะขัดกับความตกลงใน Article III ภายใต้ GATT

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ