รายงานภาวะตลาดความงามในจีน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 2, 2011 14:10 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ชาวจีนมีความเชื่ออยู่ว่าความงามนั้นต้องมาจากภายใน ไม่ใช่สวยแค่ภายนอกเท่านั้นแต่ความสวยในอุดมคติของชาวจีนต้องเกิดจากภายในร่างกายที่สมดุล ผ่านการบริโภคอาหาร การนอนหลับและการออกกำลัง กาย เพราะถ้าอวัยวะภายในสมบูรณ์จะส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกสวยงามนั่นเอง แต่เนื่องจากการใช้ชีวิตในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกายหรือพักผ่อนให้เพียงพอต่างกลายเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ ทำให้ชาวจีนเริ่มหาตัวช่วย ซึ่งก็คือบรรดาอาหารเสริมและวิตามินทั้งหลาย มาบำรุง แต่ละแบรนด์ก็เลือกผสมสมุนไพรจีนที่มีคุณสมบัติเพื่อความงามต่างกันไปในผลิตภัณฑ์ของตน ชาวจีนค่อนข้างวางใจและเชื่อในสรรพคุณสมุนไพรจีน ทำให้ 8 ใน 10 บริษัทผลิตอาหารเสริมที่มีชื่อมากที่สุดในประเทศเป็นบริษัทท้องถิ่นของจีนซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก

ผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำของตลาดความงาม คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว คิดเป็นร้อยละ 40 ของมูลค่าตลาดทั้งหมดในปี 2010 มูลค่าการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 7.10 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในปี 2010 เทียบกับปี 2005 มูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 3.50 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

ทำไมต้องเป็นประเทศจีน

1.ตลาดจีนเติบโตเร็ว - โดยเฉพาะตลาดของชนชั้นกลางเติบโตเร็วมาก มีศักยภาพในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัวใน 5 ปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุด ทำให้มีมูลค่าการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้น

2.คนจีนรุ่นใหม่จ่ายมาก ออมน้อย - เมื่อรายได้มาก ก็ใช้มาก คนรุ่นใหม่มีสัดส่วนในการออมลดลง การออมเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 36 ของรายได้หลังหักภาษีต่อปีต่อหนึ่งหลังคาเรือน ในปี 2010 ทำให้วิธีการใช้จ่ายเปลี่ยนไป จากสินค้าหรูหราราคาแพงก็กลายเป็นสินค้าที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันไป

3.คนมีรายได้อายุน้อยลง - ทำให้การใช้จ่ายส่วนใหญ่หมดไปกับสิ่งฟุ่มเฟือย ปรนเปรอดูแลตนเอง ทำให้ตนเองดูดีกว่าคนอื่น หนุ่มสาวจีนเหล่านี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 25 - 44 ปี แต่เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว อายุเฉลี่ยของผู้ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายอยู่ที่ 45 - 54 ปี

4.สินค้ายิ่งแพงยิ่งดี - สินค้าพรีเมี่ยมแบรนด์มีปริมาณยอดจำหน่ายดีมาก เพราะหนุ่มสาวรุ่นใหม่จะไม่มั่นใจในการซื้อสินค้าราคาถูก ถือเป็นโอกาสดีของสินค้าพรีเมี่ยมราคาสูงที่จะเข้ามาทำตลาดในจีน สินค้าเหล่านี้มีมูลค่าการขายสูงถึง 3.5 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในปี 2010

5. ยินดีต้อนรับแบรนด์อินเตอร์ - แบรนด์ดังระดับโลกจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในประเทศจีน ดังนั้นแบรนด์ดังทั่วโลกมากมายจึงเข้ามาตีตลาดในจีน ในขณะที่แบรนด์ท้องถิ่นก็พยายามบุกตลาด ลูกค้าระดับไฮเอนด์เช่นกัน

6.โลกาภิวัฒน์เพิ่มช่องทางการขาย - การเพิ่มขึ้นของร้านค้าในอินเตอร์เน็ตทำให้จีนมีการปรับแผนการขายสินค้าเกี่ยวกับความงามในโลกออนไลน์ในปีหน้า ทำให้มีช่องทางกระจายสินค้ามากขึ้น

จีน ตลาดความงามอันดับ 4 ของโลก

จากการจัดอันดับประเทศที่มีความเฟื่องฟูในธุรกิจด้านความงามปี 2010 พบว่าจีนอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก อันดับ 1 - 3 คือ สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, บราซิล ตามลำดับ โดยจีนมีมูลค่าการจำหน่ายประมาณ 23.6 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ แม้จีนจะมีการเติบโตของตลาดอย่างเห็นได้ชัดและมีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นเกือบ 10 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ใน 5 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับอเมริกาและญี่ปุ่นแล้ว ยังถือว่ามูลค่าการซื้อขายของจีนยังไม่สูงเท่าไหร่นัก จากสถิติจีนกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากอเมริกาและมีจำนวนชนชั้นกลาง 153 ล้านหลังคาเรือน รายได้หลังหักภาษีของประชาชนชาวจีน ในปี 2010 คือ 5,000 - 15,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ / ปี

คนรุ่นใหม่ในจีนกำลังไต่บันไดขึ้นไปสู่สังคมชั้นสูง โดยการใช้จ่ายเงินทั้งหมดไปกับเสื้อผ้าดีไซน์ล้ำสมัย คอลเลคชั่นล่าสุด เพื่อหน้าตาในสังคม รวมถึงคนที่มีรายได้ไม่มากนักก็เริ่มใช้จ่ายมากขึ้นเพราะเริ่มตระหนักว่าการดูแลตนเองให้ดูดี ไม่ว่าจะเป็นด้านการแต่งกายหรือผิวพรรณนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของพวกเขา

สิ่งใดที่ผู้บริโภคชาวจีนต้องการ

1.เรื่องแบรนด์ ก็สำคัญ - ผู้บริโภคชาวจีนจะวางใจให้ความสำคัญกับแบรนด์ดัง พอๆ กับคุณภาพของสินค้าและมีทัศนคติที่ว่าสินค้ายิ่งแพง คุณภาพยิ่งดี

2.สัญลักษณ์บ่งบอกฐานะ - ตามวัฒนธรรมของจีน คนที่มีผิวขาวหมายถึงคนมีฐานะดี นั่นหมายถึงยอดขายของเครื่องสำอางประทินโฉมเพื่อผิวขาวต่างๆ และครีมกันแดดจะมียอดขายสูงสุด

3.การงานก้าวหน้าถ้าดูดี - ผู้ชายจีนนั้นถือว่าหน้าที่และการงานต้องมาที่หนึ่ง แต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องดูแลตัวเองให้ดูดีและโดดเด่นกว่าคนอื่นทั่วไป

4.ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ - ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจะดึงดูดลูกค้าในจีนมากกว่า เพราะชาวจีนยังคงได้รับอิทธิพลจากการแพทย์แผนจีนอยู่นั่นเอง

5.งามจากภายใน - บรรดาอาหารเสริมต่าง ๆ ที่อ้างสรรพคุณว่าช่วยทำให้สุขภาพดีจากภายใน กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อการกินอาหารดีๆ การออกกำลังกายและการพักผ่อนให้เพียงพอนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

การเติบโตของธุรกิจความงามในแต่ละมณฑล

จีนเป็นประเทศใหญ่เพราะฉะนั้นพฤติกรรมของผู้บริโภคจึงแตกต่างกันไป มณฑลที่มั่งคั่งทาง ภาคตะวันออก, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ของจีนเหล่านี้มียอดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามมากที่สุดในปี 2010 คิดเป็นร้อยละ 72 ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ผู้บริโภคในเมืองเหล่านี้มี ไลฟ์สไตล์คล้ายชาวตะวันตกมากขึ้น มีความคิดที่ว่าภาพลักษณ์ของตนเองสำคัญที่สุด ถ้าคิดเฉลี่ยการใช้จ่ายต่อคน จะเห็นว่าเมืองทางภาคตะวันออกมีการบริโภคสูงกว่ามณฑลในภาคกลาง, ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ ที่ซึ่งประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่ำ มีการรับรู้เรื่องแบรนด์ของสินค้าน้อยมาก การแพร่หลาย ของสื่อต่างๆ ก็ยังมีไม่ทั่วถึงมากนัก

แนวคิดเพื่อตีตลาดผู้บริโภคทุกมณฑล

การจะตีตลาดมณฑลในภาคตะวันออกซึ่งมีคู่แข่งอยู่เป็นจำนวนมากแล้วอาจจะทำได้ยากและต้องลงทุนมหาศาล การเปลี่ยนมาทำตลาดในมณฑลภาคตะวันตกของจีนก็ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีไม่ใช่น้อย แม้ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวจะต่ำกว่าในเขตเมืองใหญ่ทางตะวันออก แต่มูลค่า GDP ของทั้งประเทศเพิ่มสูงขึ้นทุกปีทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้นตาม ความหมายก็คือเมืองเหล่านี้จะมีมูลค่าการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้นภายใน 1 - 2 ปีต่อจากนี้ การที่เรารีบทำตลาดได้เร็วที่สุดจะส่งผลดีในระยะยาวกับแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ตลาดเริ่มเปิด บวกกับชาวจีนเป็นคนที่รับอะไรใหม่ๆ ได้เร็ว ควรจะรีบฉวยโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ สำหรับนักธุรกิจชาวไทย ดีที่สุดควรร่วมลงทุนหรือหาหุ้นส่วนเป็นชาวจีนท้องถิ่น จะทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย เข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ทำให้เราได้เปรียบทางธุรกิจ กลยุทธ์สำหรับแบรนด์ต่างชาติ

1.ต้องมีผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย สำหรับการตีตลาดได้ในวงกว้าง

2.ต้องขยายตลาดอย่างไม่หยุดนิ่ง คือ หลังจากที่ทำตลาดในเมืองหลักแล้ว ต้องขายต่อไปเมืองรองที่ 2 และที่ 3 เพื่อรักษาลูกค้ารายเก่าและขยายลูกค้ารายใหม่

3.ทำกลยุทธ์แบบมัลติแบรนด์ คือทำสินค้าหลายแบรนด์ภายใต้บริษัทเดียวกัน เพื่อกีดกันคู่แข่งและมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาด

4.เริ่มมองตลาดทางมณฑลฝั่งตะวันตกของจีนถึงแม้ความมั่งคั่งจะสู้ฝั่งตะวันออกไม่ได้ แต่การที่เราเข้าไปทำตลาดก่อนคนอื่น ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

5.หาคนจีนท้องถิ่นมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ หลีกเลี่ยงการถูกเอาเปรียบและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น

แบรนด์ไฮเอนด์สำหรับลูกค้าระดับไฮคลาส
          เซี่ยงไฮ้ วิฟ หรือที่รู้จักกันว่า Two Sisters เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีภาพลักษณ์หรูหรา ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้หญิงที่รักสวยรักงาม เครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยมของจีนมีการเติบโตมาก ช่วงปี  2005 - 2010 คิดเป็นร้อยละ 17 มีมูลค่ากว่า 3.5 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในปี 2010 และคาดว่า จะเติบโตมากขึ้นอีกใน 5 ปีต่อจากนี้  เนื่องจากได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าที่มีศักยภาพในการซื้อสูง  บริษัทเลยมีการพัฒนาแบรนด์อย่างไม่หยุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า  และสร้างแบรนด์เซี่ยงไฮ้ วิฟ มาเจาะตลาดระดับบน เพื่อออกมาสู้กับแบรนด์ดังอย่างดิออร์และลังโคม ถือว่าเป็นแบรนด์ท้องถิ่นที่ ประสบความสำเร็จมากที่สุดในตอนนี้ ทำให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวจีนมีทัศนคติต่อแบรนด์ท้องถิ่นเปลี่ยนไป        ไม่เหมือนแต่ก่อนที่คิดว่าแบรนด์ท้องถิ่นไม่ดีเท่าแบรนด์หรูจากต่างประเทศ และมีแนวโน้มในการยอมรับ ในมาตรฐานการผลิตและวางใจในตัวสินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น  ขณะนี้แบรนด์เซี่ยงไฮ้ วิฟ มีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น เทียบชั้นกับคู่แข่งอย่างแบรนด์ดังของทางประเทศยุโรปได้ไม่แพ้กันเป็นเพราะได้เปรียบตรงที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรของจีนอย่างลึกซึ้งและเข้าใจพื้นฐานของชาวจีน จากความสำเร็จของ เซี่ยงไฮ้ วิฟ แสดงว่าชาวจีนมีมุมมองเรื่องแบรนด์ท้องถิ่นแปลี่ยนไปจากเดิม

ผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมในปี 2010 - 2015

ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องในปี 2010 - 2015 และคาดว่าจะแซงตลาดยุโรปตะวันตกและอเมริกา จีนมีโอกาสเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะทำยอดเงินถึง 10 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ใน 1 ปี

ตอนนี้เทรนด์ของผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและไวท์เทนนิ่งต่างก็สรรหานวัตกรรมใหม่มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง ขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสมุนไพรคาดว่าจะมียอดขายมากพอกัน

ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายน่าจับตามองมากที่สุดในปี 2011 เพราะทัศนคติของผู้ชายต่อเรื่องการดูแลตัวเองได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง มองเห็นอนาคตที่สดใสของผู้ประกอบการสินค้าเมนเฮลท์ โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์น้ำหอม ถูกคาดการณ์ว่าจะมียอดจำหน่ายดีที่สุดในปีหน้า

ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก พ่อแม่สมัยใหม่เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้ลูกคนเดียวของพวกเขา พวกเขาจะซื้อสิ่งที่แพงที่สุด คุณภาพดีที่สุด นอกจากนี้วัยรุ่นจีนส่วนใหญ่ก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเหมือนกัน เพราะผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กนั้นอ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการแพ้ เหมือนผลิตภัณฑ์ของผู้ใหญ่บางแบรนด์ในตลาด

ผลิตภัณฑ์บำรุงผม เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสกินแคร์ ผู้บริโภคใส่ใจกับปัญหาสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผม แชมพูประเภท 2 อิน 1 (ผสมครีมนวดผม) คาดว่าน่าจะมีการจำหน่ายมากที่สุด

ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด จะได้รับความนิยมจากลูกค้าเพศหญิงที่ต้องการปกป้องผิวจากแสงแดดเพื่อความอ่อนเยาว์และเพื่อไม่ให้มีริ้วรอยก่อนวัย ครีมกันแดดเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

การตลาดบนโลกออนไลน์

ขอบคุณการพัฒนาของโลกดิจิตอลในปัจจุบัน จากเดิมร้านค้าออนไลน์มีแชร์มาเก็ตอยู่แค่ร้อยละ 1 ในปี 2005 ต่อมาเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 3 ในปี 2010 การที่เครือข่ายออนไลน์พัฒนาทั่วถึงทำให้การตลาดมีการประชาสัมพันธ์ได้สะดวกขึ้น รวมถึงการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ในจีนมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก มีจำนวนถึง 419 ล้านคน ในปี 2010 และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงถึง 711 ล้านคน ในปี 2020 และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะรัฐบาลจีนมีนโยบายวางระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้เข้าถึงพื้นที่ในชนบทด้วย ซึ่งต่อไปมีแนวโน้มว่า สื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์, นิตยสาร จะไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับสื่ออินเตอร์เน็ต ตอนนี้เกือบทุกบริษัทได้สร้างเว็ปไซต์ของตัวเองขึ้นเพื่อผู้บริโภคจะได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแบรนด์และตัวสินค้าได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายน้อย ยกตัวอย่างเว็ปไซต์ขายสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน เช่น Taobao.com ก็ได้สร้าง Tmall ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ประกอบการและบริษัทชั้นนำต่างๆ นำสินค้า เช่น L'Oreal, Johnson&Johnson และ Shanghai Jahwa เป็นต้น มาจำหน่าย เว็ปไซต์สังคมออนไลน์ต่างๆ เช่นใน ประเทศในทวีปยุโรปที่เฟสบุ๊คเป็นที่นิยมมาก ในจีนก็มี weibo.com และ renren.com

จากมือถือสู่ M - commerce ( การพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ) ประเทศจีนมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 839 ล้านคนในปี 2010 มีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากถึง 288 ล้านเครื่อง / วัน และคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 1.3 พันล้านคนในปี 2020 มีสื่อมากมายหลายด้านที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้ถึงแบรนด์และตัวสินค้า จากนี้คงต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละแบรนด์ที่จะมีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใด เพื่อจะสร้างความประทับใจผู้บริโภคชาวจีนมากที่สุด

ข้อคิดเห็นของ สคต. กวางโจว

ปัจจุบันแม้ไทยจะเป็นประเทศผู้ผลิตเครื่องสำอางอันดับ 1 ในอาเซียน มีโรงงานรับจ้างผลิตขนาดใหญ่ 10-20 แห่ง และขนาดกลาง 20-30 แห่ง แต่ยังไม่มีสินค้าที่เป็นแบรนด์ไทยส่งออกไปขายในต่างประเทศมากนัก แต่กลับเป็นธุรกิจด้านความงามอย่างสปาไทยที่สร้างชื่อเสียงในต่างประเทศมานานและกลายเป็น เทรนด์ใหม่ของหนุ่มสาวชาวจีนอายุ 20 ต้นๆ ที่ลงทุนในด้านรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณให้ดูดี ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของตน แทนตัววัดเดิมประเภทความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ อาทิ การมีบ้าน และของใช้หรูหรา

ธุรกิจสปาไทยในจีนกำลังเป็นที่น่าจับตามองถือ แนวโน้มของกลุ่มลูกค้าในจีนที่นิยมเสริมความงามและบำรุงผิวพรรณกำลังหันไปสู่ทิศทางใหม่ มีทัศนคติใหม่ในการใช้ชีวิต เปิดโอกาสให้ธุรกิจสปาและธุรกิจเสริมความงามของไทยได้เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ในจีนได้มากยิ่งขึ้น เทรนด์ความงามแค่ภายนอกอาจจะยังไม่พอ ต่อมาเทนรด์ที่กำลังมาแรงคือเทรนด์การรักษาสุขภาพจากภายใน จะไม่ใช่แค่ความสวยเท่านั้น ผู้บริโภคจะเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีสารปนเปื้อนเช่น อาหาร ออแกนิกส์ เครื่องดื่มผักและผลไม้ ชาเขียวและอาหารไขมันต่ำเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีการปลูกผักและผลไม้ส่งออกมากมาย จึงเล็งเห็นว่าน่าจะมีโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม ออแกนิกส์ เพราะชาวจีนมีการคำนึงถึงประโยชน์ของการรับประทานอาหารแต่ละชนิดมากขึ้น รวมทั้งสื่อต่างๆ ในจีนมีรายงานข่าวเรื่องสารปนเปื้อนในอาหารอยู่บ่อยครั้ง นับเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนตื่นตัวในการดูแลสุขภาพมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับผู้ประกอบการไทยที่อยากจะเข้ามาเปิดตลาดในจีน แต่ต้องเป็นสินค้าที่ปลอดภัยและมีคุณภาพดีจริงๆ เพราะเมื่อชาวจีนตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยมาก ทำให้ทางการจีนเข้มงวดในการตรวจคุณภาพของอาหารเหล่านั้นมากขึ้นเช่นกัน แต่นับว่าเป็นข้อดีของผู้ประกอบการเพราะเมื่ออาหารของเรามีคุณภาพดี มีมาตราฐานสูง ผ่านการตรวจสารปนเปื้อนมาแล้ว ทำให้ผู้บริโภคเชื่อใจในคุณภาพ แม้ว่าจะหาซื้อยากและราคาสูง ผู้บริโภคชาวจีนก็ไม่หวั่น การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงเปรียบเหมือนเป็นการสร้างแบรนด์ในระยะยาว

          การจะเข้ามาตีตลาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม "สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจัดการให้ได้คือ    การเตรียมตัว การเรียนรู้ กฎระเบียบใหม่ และจะต้องทำงานในเชิงรุก เพราะที่ผ่านมาการเซ็นข้อสัญญาระหว่างประเทศ บางอย่างผู้ประกอบการยังไม่มีความรู้ที่ดีพอ อาจจะทำธุรกิจของท่านเสียหายไปอย่างง่ายดาย     ทั้งนี้การเข้าร่วมการจัดสัมมนาและการเวิร์กช็อปต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้แข็งแรง ตลอดจนเพื่อร่วมกันหาช่องทางสู่ตลาดใหม่ๆ การนำสินค้าไปให้ลูกค้าต่างประเทศได้มีโอกาสทดลองใช้มากที่สุด เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

แหล่งที่มาสค: www.euromonitor.com

ต. เมืองกวางโจว

ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ