รายงานผลการจัดโครงการส่งเสริมการขายอาหารและผลไม้ไทยในอิตาลี

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 10, 2012 15:29 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ตามที่กรมฯ มีนโยบายขยายตลาดสินค้าอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับแพร่หลายมากขึ้น โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโรมได้ดำเนินการโครงการส่งเสริมการขายอาหารไทยร่วมกับผู้ นำเข้า ๒ โครงการได้แก่ โครงการส่งเสริมการขายอาหารไทยร่วมกับบริษัท Autogrill และโครงการ Thai Food Festival ร่วมกับ Forte Village Resort ทำให้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถครอบคลุมตลาดอิตาลีได้ทั้งในระดับบนและระดับกลาง-ล่าง ทำให้อาหารไทยเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวอิตาเลี่ยน ดังนั้นจึงควรจัดให้มีโครงการลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของสินค้าอาหารไทย รวมถึงขยายตัวสินค้าไปสู่สินค้าเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผลไม้ไทยและน้ำผลไม้ไทยอีกด้วย

สินค้าอาหารและผลไม้ไทยได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มชาวอิตาเลี่ยนโดยเฉพาะผู้ที่เคยเดินทางไปประเทศไทย แต่เนื่องจากปัญหาความยุ่งยากในการลงทุนเปิดกิจการร้านอาหารไทยในประเทศอิตาลี จึงทำให้มีจำนวนร้านต่างๆ ที่ให้บริการยังไม่มาก รวมทั้งคนอิตาลีส่วนใหญ่ยังมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมโดยเฉพาะด้านอาหารที่ยังไม่เปิดรับมากนัก การจัดโครงการดังกล่าวเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยประชาสัมพันธ์อาหารและผลไม้ไทยในตลาดอิตาลีให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นทั้งในตลาดระดับบนและตลาดระดับกลาง-ล่าง โดยการแทรกซึมเข้าไปในช่องทางทั้งโรงแรมรีสอร์ตระดับ ๕ ดาวที่มีลูกค้าระดับบนซึ่งมีกำลังซื้อสูงและช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้แก่สินค้าไทย และช่องทางผ่านร้านอาหาร Autogrill ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนอิตาลีและมีจุดขายทั้งประเทศอิตาลีนับ ๑,๐๐๐ แห่งรวมทั้งมีกิจการลงทุนในประเทศต่างๆ จึงเห็นควรให้มีการจัดโครงการในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี รวมถึงการขยายมูลค่าการส่งออกธุรกิจบริการจากไทยในอนาคตด้วย

๑. ความเป็นมา

๑.๑ บริษัท Autogrill เป็นบริษัทผู้ประกอบการด้านอาหารชั้นนำของโลก ขายอาหารปลีกให้แก่ผู้บริโภคซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเดินทาง มีจำนวนพนักงานกว่า ๗๐,๐๐๐ คน และมีร้านค้าอยู่ใน ๔๓ ประเทศ โดยมีจุดขายอยู่ ๕,๕๐๐ จุดใน ๑,๒๐๐ พื้นที่ ซึ่งตั้งอยู่ตามสนามบิน ปั้มน้ำมันข้างทางหลวง สถานีรถไฟ สถานที่จัดงานแสดงสินค้า และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ บริษัท Autogrill มีร้านค้าอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย ซึ่งทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนถึง ๓,๙๐๐ ล้านยูโร

๑.๒ ผลการดำเนินโครงการในปี ๒๕๕๓ บริษัท Autogrill แจ้งว่า มีความพึงพอใจกับผลของการดำเนินกิจกรรมทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ (ผ่านโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เวปไซด์และนิตยสารต่างๆ) ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนค่อนข้างมาก รวมทั้งอาหารไทยก็ได้รับความนิยมจากลูกค้าที่เข้ามาแวะทานอาหารเป็นอย่างมาก และเกินความคาดหมายโดยเฉพาะผัดไทย ซึ่งขายหมดตั้งแต่วันแรกๆ บริษัทจึงต้องการจัดทำโครงการอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งจะนำเมนูอาหารไทยเข้าใส่ไว้ในเมนูของร้านอาหารอย่างถาวรด้วย ทั้งนี้การจัดโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และถือเป็นโครงการนำร่องที่สามารถแนะนำอาหารไทยเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคระดับกลาง-ล่างของตลาดอิตาลีที่มีจำนวนมากในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของอาหารและผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นหากสามารถดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยประชาสัมพันธ์อาหารไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในตลาดอิตาลีได้มากยิ่งขึ้น และส่งผลต่อเนื่องทำให้มีการสั่งซื้อวัตถุดิบอาหารไทยเข้าไปประกอบอาหารและวางจำหน่ายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโอกาสที่จะนำเข้าสินค้าวัตถุดิบอาหารอื่นๆ เช่น อาหารทะเลแช่แข็ง (กุ้ง ปลาหมึก ปลา) รวมทั้งผลไม้และน้ำผลไม้ไทยให้มากขึ้นด้วย

๑.๓ ในส่วน Forte Village Resort เป็นรีสอร์ตระดับ ๕ ดาว บนเกาะซาร์ดีเนียเป็นรีสอร์ต ริมทะเลขนาดใหญ่ระดับหรูหรา ประกอบด้วยโรงแรมในพื้นที่เดียวกัน ๘ โรงแรม (มีห้องพักทั้งสิ้นกว่า ๖๕๐ ห้อง) ปรกติมีลูกค้าในช่วงกรกฎาคม - สิงหาคมประมาณ ๑,๖๐๐ รายต่อวัน (ประมาณ ๑๗๕,๐๐๐ รายต่อปี) เป็นลูกค้าจากทั้งในอิตาลี (๓๘%) และประเทศต่างๆ ได้แก่ รัสเซีย (๒๐%) อังกฤษ (๑๙%) และอื่นๆ (๒๓%)

๑.๔ เมื่อปี ๒๕๕๓ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโรมได้ร่วมกับ Forte Village Resort จัดโครงการ Thai Food Festival ขึ้นระหว่างวันที่ ๑-๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นช่วงที่มีแขกเข้าพักมากที่สุดเพื่อสร้างกิจกรรมที่น่าสนใจให้แก่ลูกค้า ผลการดำเนินโครงการปรากฎว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีผู้มารับประทานอาหารไทยรวมประมาณ ๓,๒๐๐ คนตลอดระยะเวลา ๙ วันของโครงการ แขกใน รีสอร์ตโดยส่วนใหญ่เป็นชาวอิตาเลี่ยน และชาติอื่นๆ โดยเฉพาะแขกส่วนใหญ่ที่เคยไปประเทศไทยมาแล้วมีความยินดีและชื่นชอบเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลิ้มรสอาหารไทยในอิตาลีอีก ทำให้ Forte Village จึงได้เสนอขอให้จัดกิจกรรมเช่นเดียวกันในปี ๒๕๕๔ อีกครั้งหนึ่ง โดยสคต. ณ กรุงโรมได้เสนอให้เพิ่มผลไม้ไทยด้วยโดยการจัดเป็นตะกร้าผลไม้ไทยเพื่อให้แขกที่เข้าพักได้ทานแทนผลไม้ในประเทศ

๑.๕ สินค้าอาหารและผลไม้ไทยได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มชาวอิตาเลี่ยน โดยเฉพาะผู้ที่เคยเดินทางไปประเทศไทยแล้ว แต่เนื่องจากปัญหาความยุ่งยากในการลงทุนเปิดกิจการร้านอาหารไทยในอิตาลี จึงทำให้มีจำนวนร้านต่างๆ ที่ให้บริการยังไม่มาก รวมทั้งคนอิตาลีส่วนใหญ่ยังมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมโดยเฉพาะในด้านอาหารที่ยังไม่เปิดรับมากนัก การจัดโครงการดังกล่าว เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยประชาสัมพันธ์อาหารและผลไม้ไทยในตลาดอิตาลีให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นทั้งตลาดระดับบน และตลาดระดับกลาง-ล่าง โดยการแทรกซึมเข้าไปในช่องทางทั้งโรงแรมรีสอร์ตระดับ ๕ ดาว ที่มีลูกค้าระดับบนซึ่งมีกำลังซื้อสูงและช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้แก่สินค้าไทย และช่องทางผ่านร้านอาหาร Autogrill ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนอิตาลีและมีจุดขายทั่วประเทศอิตาลีนับ ๑.๐๐๐ แห่ง รวมทั้งมีกิจการลงทุนในประเทศต่างๆ จึงเห็นควรให้มีการจัดโครงการในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี รวมถึงการขยายมูลค่าการส่งออกธุรกิจบริการจากไทยในอนาคตด้วย

๑.๖ การจัดกิจกรรมดังกล่าวนอกจากจะช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าอาหารไทยในวงกว้างแล้ว ยังทำให้เกิดโอกาสพัฒนาบุคลากรพ่อครัวแม่ครัวในธุรกิจบริการของไทยในระดับนานาชาติอีกด้วย นอกจากนี้ในอนาคตทางรีสอร์ตต้องการพบปะหารือกับโรงเรียนสอนด้านการโรงแรมของไทย และโรงแรมในประเทศไทยเพื่อสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การฝึกอบรมในด้านต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ให้แก่ทั้งสองประเทศด้วย

๑.๗ สคต. ณ กรุงโรมเห็นว่า สินค้าและผลไม้ไทยเป็นสินค้าที่มีศักยภาพค่อนข้างมากในตลาดอิตาลี ซึ่งมีประชากรกว่า ๖๐ ล้านคนและมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวกว่าปีละล้านคน การจัดโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้บริโภคในตลาดอิตาลี (ทั้งประชาชนอิตาลีและนักท่องเที่ยวต่างชาติ) รู้จักอาหาร ผลไม้และน้ำผลไม้ไทยมากขึ้น และส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้บริโภคในตลาดอิตาลีทั้งในระดับบนและระดับกลาง-ล่าง ให้หันมาบริโภคอาหารและผลไม้ไทยมากขึ้น ทำให้มีการนำเข้าทั้งวัตถุดิบอาหาร เครื่องปรุงและซอสต่างๆ อาหารสำเร็จรูป รวมทั้งผลไม้และน้ำผลไม้จากไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสที่เมนูอาหารไทยจะได้ถูกบรรจุให้ขายในร้าน Autogrill อย่างถาวรและต่อเนื่อง และในอนาคตอาจขยายไปยังสาขาในประเทศอื่นๆ อีกด้วย

๒. การดำเนินงาน

สคต. ณ กรุงโรมขอสรุปผลรายงานการดำเนินโครงการดังกล่าว สรุปได้ดังนี้

๒.๑ สคต. ณ กรุงโรม ร่วมกับบริษัท Autogrill จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอาหาร ผลไม้ และน้ำผลไม้ไทยโดยแบ่งออกเป็น ๒ ช่วงคือ

๑) จัดงาน "Thai Food Week" ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤษภาคม - ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ ณ Ciao Restaurant สนามบิน Fiumicino (Terminal 3) โดยจัดให้มีพิธีเปิดงานในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๑.๓๐ - ๑๔.๓๐ น. เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า (soft opening ก่อนเริ่มโครงการ อย่างเต็มรูปแบบเป็นเวลา ๖ เดือน) รวมถึงจัด press conference ไปในเวลาเดียวกันด้วย เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการด้วย

๒) จัดงาน "The Real Taste of Thai" ระหว่างวันที่ ๒๑ มิถุนายน - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ใน ๓ จุดขายของบริษัท Autogrill (Ciao Restaurant) ได้แก่ สนามบิน Linate และ Malpensa เมืองมิลาน และสนามบิน Fiumicino (Terminal 3) กรุงโรม และในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ สนามบิน Fiumicino (International Departure) กรุงโรม วิธีการจัดส่งเสริมการขายคือ ในช่วงวันธรรมดาจัดให้เป็น menu of the day และในช่วงวันหยุดจัดเซ็ต menu Thai (ประกอบด้วยจานหลัก, น้ำและผลไม้)

๒.๒ สคต. ณ กรุงโรมร่วมกับ Forte Village รีสอร์ต จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอาหารไทย ผลไม้ไทย และน้ำผลไม้ โดยมีวิธีดำเนินการดังนี้

๑) รีสอร์ตจัดจ้างพ่อครัว/แม่ครัวจากประเทศไทย ได้แก่ คุณยศวดี พิทยาธรชัยศรี และคุณดารุวรรณ ผิวเกลี้ยง โดยสคต. ณ กรุงโรมประสานงานกับสมาคมพ่อครัวแห่งประเทศไทยในการคัดและเสนอชื่อแม่ครัวให้รีสอร์ตคัดเลือก และทางรีสอร์ตได้จัดเทศกาลอาหารไทยในลักษณะแบบซุ้มอาหารบุฟเฟ่ต์ในมื้ออาหารค่ำ (ซึ่งรวมค่าอาหารไปแล้วกับค่าโรงแรม) รวมกับอาหารอิตาเลี่ยนในห้องอาหาร Restaurant Cavalieri ในโรงแรม Il Castello ระหว่างวันที่ ๑-๗ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดยให้แม่ครัวเป็นผู้สาธิตการประกอบอาหารและแกะสลักผลไม้ไทยด้วย รายการอาหารได้แก่ แกงเขียวหวานไก่ ต้มยำกุ้ง แพนงเนื้อ ลาบหมู ทอดมัน ข้าวไทย ผัดไทย วุ้นกะทิ ขนมถั่วแปบ ส่วนผลไม้ไทยได้แก่ ส้มโอ สัปปะรด เงาะ แก้วมังกร กล้วยไข่ มะพร้าวน้ำหอม ทั้งนี้ในวันเปิดงาน (วันจันทร์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔) ฯพณฯ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโรมได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานเทศกาลอาหารและผลไม้ไทย พร้อมทั้งเชิญหัวหน้าสำนักงานต่างๆ ในทีมไทยแลนด์เข้าร่วมในพิธีเปิดงานด้วย

๒) จัดประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทย โดยจัดตะกร้าผลไม้แจกพร้อมแผ่นพับแนะนำผลไม้และวิธีการทานเพื่อให้แก่แขกที่มาพักในโรงแรม Il Castello จำนวน ๒๕๐ ห้อง ประมาณ ๓,๐๐๐ คน (เฉพาะวันแรกที่เข้าพัก ซึ่งโดยปรกติโรงแรมจะจัดตะกร้าผลไม้ท้องถิ่นให้แขกอยู่แล้ว)

๒.๓ การประชาสัมพันธ์งาน สคต. ณ กรุงโรมจัดจ้างบริษัท Autogrill ในการจัดทำสื่อโฆษณาได้แก่ banner แผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ (Totem) ป้ายติดตามทางเดิน ป้ายเมนู ฯลฯ เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการตลอดระยะเวลาโครงการ พร้อมทั้งเผยแพร่ผ่านทางเวปไซด์ของบริษัทด้วย

ในส่วนของรีสอร์ต Forte Village มีการจัดประชาสัมพันธ์ให้แก่แขกที่เข้าพัก โดยทางรีสอร์ตจะจัดวางแผ่นโฆษณาไว้ตามทางเดิน พร้อมทั้งจัดทำใบปลิวประชาสัมพันธ์ใส่ไว้ในห้องพัก นอกจากนี้สคต ณ กรุงโรมได้จัดนำแผ่นพับประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอาหารและนวดสปาไทยในอิตาลี เอกสารการท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ของไทยจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และแผ่นพับประชาสัมพันธ์การบินไทยเพื่อนำไปวางประชาสัมพันธ์ในโรงแรมด้วย

๓. ผลการดำเนินงาน

บริษัท Autogrill รายงานผลการจัดโครงการว่า ตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ (๒๑ มิถุนายน - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔) สามารถขายอาหารไทยได้จำนวนทั้งสิ้น ๑๑,๑๙๑ จาน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น ๘๑,๓๒๔ ยูโร โดยพบว่าลูกค้าที่สนามบิน Fimicino กรุงโรม นิยมอาหารไทยมากที่สุด (ยอดขาย ๗,๒๓๑ จาน) รองลงมาคือที่สนามบิน Linate เมืองมิลาน (ยอดขาย ๒,๒๓๕ จาน) และที่สนามบิน Malpensa เมืองมิลาน (ยอดขาย ๑,๗๒๕ จาน)

สินค้าที่ขายดีคือข้าวผัดไก่ ตามด้วย ผัดไทยกุ้ง ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง และข้าวผัดกุ้ง

จากการเก็บข้อมูลของรีสอร์ตพบว่า การจัดเทศกาลอาหารและผลไม้ไทยครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก การจัดซุ้มบุฟเฟต์อาหารไทยตลอดระยะเวลา ๗ วันที่จัดโครงการมีแขกมารับประทานอาหารไทยรวมประมาณ ๒,๘๐๐ คน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวอิตาเลี่ยน และชาติอื่นๆ โดยเฉพาะแขกส่วนใหญ่ที่เคยไปประเทศไทยมาแล้วมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลิ้มรสอาหารไทยในรีสอร์ตของอิตาลีอีก บางส่วนสนใจที่จะไปท่องเที่ยวประเทศไทยและมีการสอบถามข้อมูลต่างๆ พร้อมทั้งข้อมูลร้านอาหารไทยในอิตาลีด้วย

๔. ปัญหาและอุปสรรค

รสชาติอาหาร ทางบริษัทได้ปรับรสชาติอาหารให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภค ทำให้อาหารมีรสชาติแบบผสมผสาน กล่าวคือ การใช้ซอสญี่ปุ่นในการปรุงอาหารแทนน้ำปลา หรือการใส่น้ำมันพืชมากๆ ในข้าวผัด การปรุงซอสแบบสำเร็จรูปสำหรับซอสเปรี้ยวหวาน

๕. ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ

๕.๑ จากการประชุมสรุปผลการดำเนินโครงการร่วมกับบริษัท Autogrill บริษัทแจ้งว่า มีความพึงพอใจกับผลของการดำเนินกิจกรรมทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ (ผ่านโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เวปไซด์และนิตยสารต่างๆ) ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ซึ่งทำให้บริษัทสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดี รวมถึงทำให้มีลูกค้าสนใจอาหารไทยเป็นอย่างมากและพึงพอใจกับการจัดโครงการครั้งนี้ โดยตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ นี้ บริษัทจะใส่เมนูอาหารไทย ๒ ชนิดไว้ในเมนูของร้านอาหารอย่างถาวรคือ ผัดไทย ส่วนจานที่สองกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา โดยจะวางขายตามสถานที่ต่อไปนี้

๑) Asian Corner ในสนามบิน Fiumicino กรุงโรม และ Satelite Fiumicino กรุงโรม และสนามบินอีก ๒ แห่งในเมืองมิลานคือ Malpensa และ Linate

๒) ร้านอาหาร Ciao Restaurant ของบริษัท Autogrill จำนวน ๑๗๐ จุดขายทั่วประเทศอิตาลี

๕.๒ สำหรับการขยายโครงการความร่วมมือนี้ไปสู่เครือข่ายของ Autogrill ในประเทศอื่นๆ ทางบริษัทแจ้งว่า ยินดีที่จะร่วมหารือกับฝ่ายไทย และขอให้ฝ่ายไทยเสนอโครงการโดยมีรายละเอียดประเทศเป้าหมาย รวมถึงวิธีดำเนินงานที่เหมาะสมเพื่อหารือต่อไปด้วย

๕.๓ การจัดโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโครงการที่สามารถทำให้อาหารไทยเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคระดับกลาง-ล่างของตลาดอิตาลีที่มีจำนวนมากในประเทศอิตาลีโดยบรรจุเข้าไปในเมนูอาหารถาวรของร้านอาหารของ Autogrill ได้ ทั้งๆ ที่ตลาดอิตาลีเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของอาหารและผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม ดังนั้นการดำเนินโครงการดังกล่าวจึงส่งผลต่อการประชาสัมพันธ์อาหารไทยในวงกว้าง รวมถึงทำให้มีการสั่งซื้อสินค้าวัตถุดิบอาหารไทยเข้าไปประกอบอาหารและวางจำหน่ายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโอกาสที่จะนำเข้าสินค้าวัตถุดิบการประกอบอาหารอื่นๆ เช่น กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็ง (กุ้ง ปลาหมึก ปลา) ผัก ซอสปรุงรสอาหาร เครื่องเทศต่างๆ เพื่อใช้ประกอบอาหารของร้าน Autogrill ปรกติมากขึ้นด้วย รวมถึงอาหาร Ready to eat จากไทยโดยเฉพาะผัดไทยให้กระจายเข้าสู่ตลาดได้ดียิ่งขึ้น

๕.๕ สคต. ณ กรุงโรมเห็นว่า การจัดโครงการ In-store promotion ร่วมกับผู้นำเข้าสินค้าอาหารอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม supermarket จะทำให้สามารถขยายตลาดผู้บริโภคอิตาเลี่ยนให้มากขึ้น โดยจะทำให้สร้างอุปสงค์และตอบสนองต่อตลาดได้อย่างครบวงจร รวมถึงส่งผลถึงการขยายมูลค่าการส่งออกวัตถุดิบอาหาร และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น น้ำผลไม้/ผลไม้ ไปพร้อมๆ กันเพื่อทำให้เกิดผลในวงกว้างขึ้น

๖. สรุปผลโครงการ

ตลาดอิตาลีมีศักยภาพในด้านสินค้าอาหารของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดโครงการดังกล่าวได้ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้บริโภคในตลาดอิตาลีคลอบคลุมทั้งระดับบน และระดับกลาง-ล่าง ดังนั้นในปี ๒๕๕๕ จึงควรจัดโครงการลักษณะประชาสัมพันธ์สินค้าอาหารอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัด Instore promotion ร่วมกับผู้นำเข้าในซุปเปอร์มาร์เก็ต การจัดประชาสัมพันธ์อาหารไทยในงานแสดงสินค้าอาหารสำคัญๆ ในอิตาลี การจัดทำคอร์สสอนทำอาหารไทยร่วมกับโรงเรียนสอนทำอาหาร รวมถึงการร่วมกับผู้ผลิตไวน์จัดการชิมไวน์คู่กับอาหารไทย จะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้ผู้บริโภคในอิตาลีสร้างความรับรู้ และซึมซับการรับประทานอาหารไทยไปอย่างต่อเนื่อง จะทำให้อาหารไทยสามารถประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดผู้บริโภคอิตาเลี่ยนได้อย่างถาวรในอนาคต

โอกาสของสินค้าอาหารและผลไม้ไทยในตลาดอิตาลียังคงมีค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดีผู้ส่งออกไทยควรจะต้องคิดค้นและพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีความสะดวกและง่ายต่อการรับประทาน นอกเหนือจากการรักษาคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐาน รวมทั้งยังต้องมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและบรรจุภัณฑ์ให้มีความสวยงามน่าสนใจ รวมทั้งสามารถรักษาคุณภาพอาหารและผลไม้ให้คงความสดและไม่เน่าเสียง่าย เนื่องจากชาวอิตาเลี่ยนยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงและยังยึดติดกับการรับประทานอาหารชาติตนเองมากกว่าอาหารต่างชาติ อีกทั้งอุปสรรคของสินค้าอาหารไทยคือผู้บริโภคอิตาเลี่ยนยังไม่รู้จักตัวสินค้าและวิธีการบริโภค รวมถึงวิธีการเจาะตลาดที่สำคัญคือ การทำให้รูปลักษณ์ของสินค้าง่ายต่อการรับประทาน คุณภาพสินค้าดี มีใบรับรองมาตรฐานระดับโลก แต่สินค้าไทยยังมีปัญหาในประเด็นนี้อยู่ รวมถึงระบบโลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้า ปัจจุบันการบินไทยเปิดให้บริการเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ - โรม และกรุงเทพฯ - มิลาน สัปดาห์ละ ๔ เที่ยวในแต่ละเส้นทาง ซึ่งทำให้สะดวกต่อการขนส่งสินค้าอาหาร แต่พบว่า ปริมาณความต้องการของตลาดยังมีอยู่น้อยซึ่งทำให้ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

สคต. ณ กรุงโรมเห็นว่า กิจกรรมประชาสัมพันธ์สินค้าอาหารและผลไม้ไทยในอิตาลี ควรเน้นด้านคุณภาพ/ประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมทั้งแนะนำวิธีการรับประทานให้มากยิ่งขึ้นและอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยส่งเสริมให้คนอิตาเลี่ยนซึ่งมีจำนวนเกือบ ๖๐ ล้านคนได้รู้จักและเกิดความสนใจที่จะบริโภคอาหารและผลไม้ไทยมากยิ่งขึ้น ประกอบกับแนวโน้มของจำนวนนักท่องเที่ยวอิตาเลี่ยนที่เดินทางไปไทยได้เพิ่มสูงขึ้นทุกปีและคาดว่าในปี ๒๕๕๕ จะสูงถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนคนอิตาเลี่ยนที่รู้จักและชื่นชอบอาหารและผลไม้ไทยให้มากขึ้นด้วย

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโรม

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ