วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากับทางรอดของร้านค้าปลีก

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 26, 2008 10:56 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ปัญหา

วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นผลพวงของความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งกดดันเพิ่มขึ้นเป็นลำดับนับแต่ช่วงปลายปี 2550 ผนวกกับปัญหา Sub Prime ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นชนวนของ Wall Street Crisis ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออำนาจการซื้อของผู้บริโภค สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยเงินกู้ ธุรกิจขาดเงินทุนหมุนเวียน

ผู้บริโภคใช้จ่ายซื้อสินค้าลดน้อยลง เป็นผลให้รายได้ของร้านค้าปลีกลดลง นอกจากนั้นแล้ว ร้านค้าปลีกยังเผชิญการแข่งขันในด้านราคาสินค้ามาเป็นสิ่งจูงใจเพิ่มการบริโภคอีกทั้ง ได้รับความกดดันการเร่งรัดให้ผ่อนชำระหนี้ ร้านค้าปลีกจึงต้องหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อความอยู่รอด จึงมีทางเลือก 3 ประการ คือ (1) การลด/ปิดร้านสาขา (Down Size) (2) การขอความความคุ้มครองการล้มละลายจากศาล (Chapter II Bankruptcy) และ (3) การเลิกกิจการ (Out-of-Business)

ผลกระทบ

วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อตลาดค้าปลีกสหรัฐฯ 3 ประการคือ

1. การปิด/เลิกกิจการ: ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมาจนถึงตุลาคม 2551 มีร้านค้าปลีก Chain Store ในสหรัฐฯ ได้ปิดกิจการไปแล้วกว่า 5,289 แห่ง (เอกสารแนบ) โดยแยกเป็น

(1) ร้านค้าปลีกจำนวน 31 ราย เลือกวิธีลด/ปิดสาขาที่ขายสินค้าไม่ถึงเป้า (Down Size) จำนวน 2,199

(2) ร้านที่ขอความคุ้มครองการล้มละลายจากศาลจำนวน 19 ราย และปิดร้านสาขาจำนวน 1,597 แห่ง

(3) ร้านค้าปลีกที่ได้เลิกกิจการไปแล้วจำนวน 10 แห่ง และปิดร้านสาขาจำหน่าย 1,493 แห่ง อนึ่งสมาคม International Council of Shopping Center (ICSC) คาดว่าร้านค้าปลีกจะลดจำนวนสาขาลงสูงถึง 6,500 แห่งในปี 2551

2. ยอดขาย: ยอดขายของร้านค้าปลีกรวมของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม 2551 ลดลงร้อยละ -2.8 เทียบจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดที่นับตั้งแต่ปี 2544

3 การนำเข้า: สมาคม National Retail Federation รายงานว่า การนำเข้าตู้สินค้าของร้านค้าปลีก (Retail Container) ในเดือนตุลาคม 2551 ลดลงจากเดือนกันยายน 2551 ร้อยละ 15.43 หรือลดลงจากเดือนเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ -7.1 โดยปกติแล้วเดือนตุลาคมจะเป็นช่วงที่มีการนำเข้าตู้ร้านค้ามากที่สุด

4. การปรับลดแผนขยายกิจการ: ร้านค้าปลีก Chain Store ที่สำคัญได้ปรับลดแผนการขยายกิจการในปี 2552 เช่น ห้าง Home Depot จะไม่เพิ่มสาขา (เป้าเดิม 15 แห่ง) ห้าง Wal-Mart จะเพิ่มสาขา 125 แห่ง (เป้าเดิม 212 แห่ง) ห้าง Kohl Department Store จะเพิ่มสาขา 25 แห่ง (เป้าเดิม 100 แห่ง) ห้าง JC Penny จะเพิ่มสาขา 15 แห่ง (เป้าเดิม 36 แห่ง) ห้าง Lowe's จะเพิ่มสาขา 40 แห่ง (เป้าเดิม 85 แห่ง) ห้าง Target จะเพิ่ม 75 แห่ง (เป้าเดิม 95 แห่ง) และ ห้าง Whole Foods Market จะเพิ่ม 15 (เป้าเดิม 28 แห่ง) เป็นต้น

คาดการณ์

1. นักวิเคราะห์เศรษฐกิจภาคเอกชนมีความเห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2552 จะหดตัวมากกว่าร้อยละ -0.2, -1.1 ตามที่ธนาคารชาติสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะเป็นการย้ำให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู๋ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Reccession) และตลาดค้าปลีกสหรัฐฯ จะสาหัสเพิ่มขึ้นอีกในปี 2552

2. คาดการณ์ว่าร้านค้าปลีก Chain Store ที่เป็นผู้นำตลาด เช่น ห้าง Wal-Mart, Best Buy, Target, Home Depot, Gap จะปรับคาดการณ์อัตราขยายตัวของยอดขาย (Sales Forecast) ในปี 2552 ให้ต่ำลงกว่าที่ได้ตั้งไว้เนื่องจากร้านค้าปลีกได้ปรับแผนการขยายกิจการ ซึ่งจะส่งผลต่อการสั่งซื้อสินค้าและการนำเข้าสินค้ามาจำหน่าย

3. นักวิเคราะห์ตลาดค้าปลีกสหรัฐฯ รายงานว่าปัจจุบันมีร้านค้าปลีก Chain Store ขนาดใหญ่ที่อยู่ในสถานะฟองสบู่ใกล้จะแตกจำนวน 5 ราย และหากยอดขายสินค้าของร้านค้าดังกล่าวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต่ำกว่าเป้ามาก คาดว่าร้านค้าเหล่านี้จะต้องขอความคุ้มครองการล้มละลายจากศาล และจะปิดร้านสาขาจำนวนมาก

4. ร้านค้าปลีกเป็นผู้นำเข้ากลุ่มสำคัญในสหรัฐฯ การลดจำนวนร้านขายสินค้าจำรนมาก และการชะลอตัวการขยายกิจการของร้านค้า จะส่งผลกระทบการลดลงของปริมาณการนำเข้าสินค้าของร้านค้าปลีก คาดว่าการนำเข้าสินค้าของร้านค้าปลีกในปี 2552 ขยายตัวต่ำกว่าปี 2551 ประมาณร้อยละ 10 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกรวมทั้งจากไทยเนื่องจากร้านค้าปลีกชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น ห้าง Target, Gap, Ann Taylor หรือ Talbot นำเข้าสินค้าจากไทย

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก

Upload Date : พฤศจิกายน 2551

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ