1. การค้าระหว่างประเทศของสิงคโปร์ 2551 มีมูลค่า 669,883.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.25 จากปีที่ผ่านมา โดยประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งคือ มาเลเซีย รองลงมา ได้แก่ จีน สหรัฐฯ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 9 โดยมีมูลค่าการค้ารวม 24,938.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ19.51 มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 3.72 ของมูลค่าการค้ารวมของสิงคโปร์
(รายละเอียดปรากฏตามตารางแนบ : Singapore Top 50 Export to Thailand and Singapore Top 50 Import from Thailand)
3.1 ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของเครื่องจักรกล (HS 8473) นำเข้ารวมมูลค่า 12,130.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 766.9 โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 5 มูลค่า 812.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 831.4 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 6.7 ประเทศคู่ค้าอันดับ 1 คือ จีน (นำเข้ามูลค่า 2,951.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 24.3) รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐฯ อินโดนีเซีย ไทย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เยอรมนี ฮ่องกง และ ปอร์ตุเกส ทั้งนี้ สิงคโปร์นำเข้าเพิ่มขึ้นจากประเทศคู่ค้า 10 อันดับแรก โดยเฉพาะสหรัฐฯและเยอรมนี เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 1,156.6 และ 1,193.7 ตามลำดับ
3.2 เครื่องสูบลม/เครื่องอัดลมหรืออัดก๊าซอื่นๆและพัดลง รวมทั้งเครื่องระบายอากาศ (HS 8414) นำเข้ารวมมูลค่า 1,150.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.9 โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 มูลค่า 212.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 1,232.6 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 18.5 ประเทศคู่ค้าอันดับ 2 คือ สหรัฐฯ (นำเข้ามูลค่า 204.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 17.8) รองลงมาได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เยอรมนี มาเลเซีย สหราชอาณาจักร อินโดนีเซีย เดนมาร์ค และเกาหลีใต้ ซึ่งมีการนำเข้าลดลงจากมาเลเซีย สหราชอาณาจักร และอินโดนิซีย ร้อยละ -29.4, -1.6 และ -8.9 ตามลำดับ
3.3 สื่อบันทึกข้อมูล/ภาพ/เสียง (HS 8523) นำเข้ารวมมูลค่า 1,236.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4.9 โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 6 มูลค่า 73.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 406.4 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 5.9 ประเทศคู่ค้าอันดับ 1 คือ ญี่ปุ่น นำเข้ามูลค่า 339.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 (ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 27.4) รองลงมาได้แก่ สหรัฐฯ จีน มาเลเซีย ไต้หวัน ไทย เม็กซิโก ฮ่องกง อินโดนีเซีย และสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ มีการนำเข้าลดลงจากมาเลเซีย ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ร้อยละ -67.3, -23.7 และ -19.3 ตามลำดับ
3.4 เตาเผาและเตาอบใช้ในอุตสาหกรรม/เตาเผาขยะไม่ใช้ไฟฟ้า (HS 8417) นำเข้ารวมมูลค่า 87.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.3 นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 มูลค่า 40.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 1,902.7 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 46.3 รองลงมาได้แก่ เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร จีน ไต้หวัน และนอรเวย์ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่นำเข้าเพิ่มขึ้นจากประเทศคู่ค้า 10 อันดับแรก ยกเว้นนำเข้าลดลงจากเยอรมนี (ร้อยละ -33.8 ส่วนแบ่งตลาด ร้อยละ 23.4) และญี่ปุ่น (ร้อยละ -23.4 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 9.9)
3.5 เบียร์ที่ทำจากมอลต์ (HS 2203) นำเข้ารวมมูลค่า 116.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 24.7 นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 มูลค่า 33.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 597.9 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 28.7 รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี จีน เม็กซิโก อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ทั้งนี้ ส่วนใหญ่นำเข้าเพิ่มขึ้นจากประเทศคุ่ค้า 10 อันดับแรก ยกเว้นนำเข้าลดลงจากมาเลเซีย (ร้อยละ -34.9 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 26.1) และเม็กซิโก (ร้อยละ -37.4 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.9)
นอกจากนี้ สินค้าสำคัญอื่นๆ ที่สิงคโปร์นำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า (ร้อยละ 29.6) เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ร้อยละ 62.3) เครื่องโทรสาร/โทรพิมพ์/โทรศัพท์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ร้อยละ 32.0) รถยนต์ (ร้อยละ 70.0) อุปกรณ์กึงตัวนำทรานซีสเตอร์และไดโอด (ร้อยละ 34.7) เครื่องปรับอากาศ (ร้อยละ 32.1) เคมีภัณฑ์ไซคลิกไฮโดรคาร์บอน (ร้อยละ 8.9) ข้าว (ร้อยละ 67.3) ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ (ร้อยละ 13.5) และวงจรพิมพ์ (ร้อยละ 17.0)
4.1 มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (HS 8501) นำเข้ารวมมูลค่า 1,035.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 8.5 นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 3 มูลค่า 84.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 10.4 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 8.1 ประเทศคู่ค้าอันดับ 1 คือ อินโดนีเซีย นำเข้ามูลค่า 284.7 ล้าน-เหรียญสหรัฐฯ ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 27.5 รองลงมาได้แก่ จีน สหรัฐฯ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี และเวียดนาม ทั้งนี้ นำเข้าลดลงจากสหรัฐฯ (ร้อยละ -1.0 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 7.9) มาเลเซีย (ร้อยละ -17.4 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 5.8) และญี่ปุ่น (ร้อยละ -7.8 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 5.1)
4.2 เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าป้องกันวงจรไฟฟ้า (HS 8536) นำเข้ารวมมูลค่า 2,233.2 ล้านเหรียญ-สหรัฐฯ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 1.4 นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 7 มูลค่า 74.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 9.6 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 3.4 แหล่งนำเข้าอันดับ 1 คือ จีน มูลค่า 441.2 ล้านเหรียญ-สหรัฐฯ (ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 19.8) รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ มาเลเชีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เยอรมนี ฝรั่งเศส ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร ส่วนใหญ่นำเข้าลดลงจากประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ (ร้อยละ -1.3 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 13.7) มาเลเซีย (ร้อยละ -1.6 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 13.4) อินโดนีเซีย (ร้อยละ -9.7 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 9.6) และฮ่องกง (ร้อยละ -37.2 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 4.5)
4.3 เครื่องพิมพ์และเครื่องจักรที่ใช้ประกอบการพิมพ์ (HS 8443) นำเข้ารวมมูลค่า 3,284.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 74.8 นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 8 มูลค่า 65.7 ล้าน-เหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 91.5 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.0 แหล่งนำเข้าอันดับ 1 คือ ญี่ปุ่น (ลดลงร้อยละ 19.4 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 34.2) รองลงมา ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม สหรัฐฯ ไอร์แลนด์ เยอรมนี และอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าลดลง ยกเว้นนำเข้าเพิ่มขึ้นจากเวียดนาม (ร้อยละ 24.6 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 3.7) และอิสราเอล (ร้อยละ 18.5 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 1.2)
4.4 เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ (HS 9018) นำเข้ารวมมูลค่า 966.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 7.4 นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 8 มูลค่า 29.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 50.9 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 3.0 แหล่งนำเข้าอันดับ 1 คือ สหรัฐฯ มูลค่า 342.9 ล้านเหรียญ-สหรัฐฯ (ลดลงร้อยละ -6.8 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 35.5) รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น เยอรมนี จีน มาเลเชีย อินเดีย เนเธอร์แลนด์ อินโดนีเซีย และไอร์แลนด์ ทั้งนี้นอกจากนำเข้าลดลงจากสหรัฐฯแล้ว ยังนำเข้าลดลงจากเนเธอร์แลนด์ด้วย (ร้อยละ-67.6 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 3.3)
4.5 เครื่องจักรไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า (HS 8543) นำเข้ารวมมูลค่า 1,237.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 9.6 นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 8 มูลค่า 43.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 45.5 ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 3.5 แหล่งนำเข้าอันดับ 1 คือ สหรัฐฯ มูลค่า 302.2 ล้านเหรียญ-สหรัฐฯ ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 24.4 รองลงมาได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย จีน มาเลเชีย เยอรมนี สหราช-อาณาจักร และฮ่องกง ซึ่งการนำเข้าลดลงจากประเทศคู่แข่งสำคัญของไทยคือ อินโดนีเซีย ร้อยละ -24.1ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 13.2 ข้อมูลอื่นๆ/ข้อสังเกต
1. การค้ารวมระหว่างสิงคโปร์กับไทยในปี 2551 เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ร้อยละ 4.3) ซึ่งสิงคโปร์เป็นตลาดคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้าส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของเครื่องจักรกล เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร/โทรพิมพ์/โทรศัพท์/อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอดเครื่องสูบลม/เครื่องอัดลมหรืออัดก๊าซอื่นๆและพัดลมรวมทั้งเครื่องระบายอากาศเครื่องปรับอากาศ และไซคลิกไฮโดร- คาร์บอน เป็นต้น อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตุว่า สิงคโปร์ได้นำเข้าสินค้าเตาเผาและเตาอบใช้ในอุตสาหกรรม/ เตาเผาขยะไม่ใช้ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 1,902.7 และเบียร์ที่ทำจากมอลต์ ร้อยละ 597.9 นอกจากนี้ สินค้าที่สำคัญอื่นๆ นำเข้าจากไทย ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ อาหาร อาหารทะเล(สด/แช่เย็น/แช่แข็ง) ผักและผลไม้ และเครื่องใช้ในครัวเรือนประเภทต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ประเทศคู่แข่งสำคัญของไทยในอาเซียน คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนประเทศคู่แข่งที่สำคัญอื่นๆ คือ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และอินเดีย
2. กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ ได้ประกาศสรุปการเจริญเติบโตเศรษฐกิจสิงคโปร์ ปี 2551 มี Gross Domestic Product (GDP) เป็นร้อยละ 1.2 (ปี 2550 ร้อยละ 7.7) โดยภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีการเจริญเติบโตลดลงร้อยละ -4.1 (ปี 2550 ร้อยละ 5.8) ส่วนภาคอื่นๆ มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ได้แก่ (1) ภาคการก่อสร้าง ร้อยละ 17.9 (2) ภาคการค้าส่งและการค้าปลีก ร้อยละ 2.6 (3) การขนส่งและคลังสินค้า ร้อยละ 3.2 (4) การโรงแรมและภัตตาคาร ร้อยละ 1.3 (5) การสารสนเทศและโทรคมนาคม ร้อยละ 6.9 (6) การให้บริการด้านการเงินการคลัง ร้อยละ 7.1 และ (7) การให้บริการด้านธุรกิจ ร้อยละ 7.3
3. สินค้าที่สิงคโปร์ส่งออกลดลงในเดือนธันวาคม 2551 ได้แก่ PCs and parts of PCs, ICs and parts of ICs, diodes and transistors, petrochemicals, primary chemicals, telecommunications equipment, consumer electronics, pharmaceuticals, petrochemicals, electrical machinery และ aluminium ส่วนสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ disk drives, electron tubes, non-monetary gold, civil engineering equipment parts, non-electric engines and motors และ jewellery ซึ่งตลาดส่งออกที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น คือ ญี่ปุ่น (ร้อยละ 1.9) ส่วนตลาดส่งออกที่มีการขยายตัวลดลง คือ สหภาพยุโรป 27 (ร้อยละ -34) สหรัฐฯ(ร้อยละ -24) จีน(ร้อยละ -2.9) มาเลเซีย (ร้อยละ -26) อินโดนีเซีย (ร้อยละ -12) ฮ่องกง (ร้อยละ -20) เกาหลีใต้ (ร้อยละ -31) ไทย (ร้อยละ -45) ไต้หวัน (ร้อยละ -43) ตลาดใหม่ (ร้อยละ -19 : Indo-China, Central & South Asia, the Middle East, Latin America, the Caribbean, Eastern Europe และ North & South Africa)
4. ปัจจัยที่ทำให้การเจริญเติบโตเศรษฐกิจถดถอยในปี 2551 ได้แก่ (1) วิกฤตการณ์การเงินทั่วโลก/ตลาดหุ้นตกต่ำและอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราที่แปรปรวน (2) ความต้องการลดลงจากประเทศคู่ค้าสำคัญๆ สำหรับสินค้าอิเล็คทรอนิกส์, precision engineering และเคมีภัณฑ์ (3) การผลิตสินค้า Biomedical ได้รับ ผลกระทบจากเรื่องเกี่ยวข้องกับยารักษาโรคและการเปลี่ยนการผลิตส่วนผสมสำหรับเภสัชภัณฑ์ที่มีมูลค่าลดลง (4) ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ และ (5) ความต้องการลดลงในด้านการบริการด้านกฎหมายและการบัญชี
5. นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าแนวโน้มการส่งออกของสิงคโปร์ยังคงชะลอตัวต่อไปอีกระยะหนึ่งอาจจะถึงปี 2553 ถึงแม้ว่า Monetery Authority of Singapore (MAS) ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับค่าของเงินเหรียญสิงคโปร์ เพื่อช่วยเหลือการเจริญเติบโตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้กลับฟื้นตัว และทำให้การส่งออกมีความสามารถแข่งขันได้ แต่ในทางตรงข้าม จะทำให้ราคานำเข้าสินค้ามีอัตราสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อตลาดภายในประเทศอย่างมาก
6. ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ รวมถึงสมาคมการค้าและภาคเอกชนในสิงคโปร์ประสานความร่วมมือกันเพื่อทำให้ประเทศมีความอยู่รอดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย โดยภาครัฐได้ประกาศการให้ความ ช่วยเหลือในด้านต่างๆ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
6.1 ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรม และการลงทุน
6.1.1 รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณ 5.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เพื่อกระตุ้นธนาคารให้บริษัทกู้ยืมเงิน (Stimulating Bank Lending) โดยจัดให้มีโปรแกรมเพื่อช่วยเหลือ
6.1.2 Enhancing Business Cashflow and Competitiveness รัฐบาลออกระเบียบและมาตรการต่างๆเพื่อลดหย่อนภาษี ซึ่งรัฐบาลจะสูญเสียรายได้รวม 2.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เพื่อช่วยเหลือให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนและสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้าแก่บริษัทสิงคโปร์
6.2 การนำเข้า/ส่งออก
6.2.1 รัฐบาลจัดตั้งโปรแกรม New Export Coverage Scheme (ECS) โดยการดูแลของ International Enterprise Singapore (IE Singapore) ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งของเบี้ยประกันแต่ไม่เกิน 100,000 เหรียญสิงคโปร์ สำหรับบริษัทที่ทำการค้าต่างประเทศซึ่งมีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 80 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2552 เป็นต้นไป เพื่อช่วยเหลือบริษัทผู้ส่งออกในสิงคโปร์ประมาณ 1,000 ราย
6.2.2 หน่วยงาน International Enterprise Singapore (IE Singapore) จัดสรรงบประมาณ 66 ล้านเหรียญสิงคโปร์ในการส่งเสริมการส่งออก (Export Promotion) ซึ่งบริษัทประมาณ 5,000 ราย จะได้รับสิทธิประโยชน์ รวมทั้งสมาคมการค้าและหอการค้าต่างๆที่จะจัดงานแสดงสินค้านานาชาติและการนำคณะนักธุรกิจสิงคโปร์เยือนต่างประเทศ
6.3 ด้านแรงงาน รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณจำนวน 5.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เพื่อช่วยให้ชาวสิงคโปร์มีงานทำ
6.4 อื่นๆ ได้แก่ (1) การช่วยเหลือครัวเรือนชาวสิงคโปร์ (งบประมาณ 2.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ในด้านค่าภาษี GST, ช่วยเหลือผู้อาวุโสอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีรายได้น้อยกว่า, ให้ค่าลดหย่อนภาษีรายได้ร้อยละ 20 ไม่เกินวงเงิน 2,000 เหรียญสิงคโปร์ สำหรับการจ่ายภาษีรายได้ปี 2552, ให้เงินช่วยเป็นค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายน้ำ-ไฟและการกำจัดสิ่งปฏิกูล, ลดหย่อนการเก็บค่า electricity tariff ระหว่างเดือนมกราคม — มีนาคม 2552 (2) การช่วยเหลือพัฒนาและโครงการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน (งบประมาณ 4.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ใน 4 ด้าน คือ 1) โครงการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดึงมาสร้างในปี 2552 2) โปรแกรมการพัฒนาอาคารต่างๆภายใน 5 ปี 3) การพัฒนาการคมนาคมพื้นฐาน และ 4) การพัฒนาอาคารสำหรับการศึกษาและการสาธารณสุข
6.5 นอกจากนี้ภาครัฐมีนโยบายลดเงินเดือนของข้าราชการระดับสูงในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอยู่ระหว่างร้อยละ 12-20 และสำหรับภาภเอกชนจะลดเงินเดือนประมาณร้อยละ 10-25 เพื่อให้ทุกคนมีงานทำ ไม่สร้างปัญหาให้แก่สังคม
7. วิกฤตการณ์การเงินทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ยังคงมีต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกชะลอตัวลง รวมทั้งสิงคโปร์ ซึ่งได้รับผลกระทบทำให้การเจริญเติบโตเศรษฐกิจลดลงในปี 2551 และคาดว่า เศรษฐกิจจะถดถอยต่อไปอีกหลายไตรมาส จากปี 2551 เป็นต้นไป อย่างไร ก็ตาม สิงคโปร์มีเงินทุนสำรองที่มั่นคง และประธานาธิบดีได้ให้ความเห็นชอบแก่รัฐบาลในการนำเงิน ทุนสำรองออกมาใช้เพื่อช่วยเหลือช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ คาดว่า สิงคโปร์จะสามารถฝ่าฟันวิกฤตการณ์นี้โดยได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ และจะอยู่เหนือกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วด้วย
8. ภาคการกีฬาในสิงคโปร์ เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ไม่ถดถอยมากนักซึ่งในปี 2551 ทำรายได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ และคาดว่า จะทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ภายในปี 2558 ทั้งนี้ สิงคโปร์จะเป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมกีฬาใหญ่ๆ ในช่วงปี 2552-2555 ได้แก่ (1) ปี 2552 คือ Asian Youth Games, Hockey: Men’s Junior World Cup และ Triathlon: World championships series (2) ปี 2553 คือ Inaugural Youth Olympic Games (3) ปี 2554 คือ Netball: World Championship (4) ปี 2555 คือ Twenty20 cricket at the new Sports Hub และ Top races at the Changi motor-track
9. การลงนามในข้อตกลง ASEAN Economic Community (AEC) โดย บรูไน เขมร อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย และสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551 เพื่อเป็นหลักสำคัญในการสร้างให้อาเซียน เป็นตลาดเดียว คาดว่าจะทำให้ AEC ตั้งขึ้นและดำเนินการภายในปี 2015 (เหมือนกับสหภาพยุโรป) ซึ่งมี ข้อตกลง 3 ฉบับ คือ (1) The ASEAN Trade in Goods Agreement เรื่องการขนส่งสินค้าและความร่วมมือในการลดภาษีรวมทั้งมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (2) The ASEAN Framework Agreement on Services เปิดเสรีสำหรับภาคการบริการ ตั้งระยะเวลาภายในปี 2015 และ (3) The ASEAN Comprehensive Investment Agreement (Acia) เกี่ยวกับการค้าและการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และส่งเสริม intra-region economic integration ให้มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ จะส่งผลให้เอเชียเป็นศูนย์กลางในการเจริญเติบโตใน 5-10 ปีข้างหน้า และสามารถแข่งขันได้กับจีนและอินเดีย
10. หน่วยงานภาครัฐ Economic Development of Singapore (EDB) ได้คาดการณ์ว่า การลงทุนจากต่างประเทศในปี 2552 จะมีเพียงประมาณ 10 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (ครึ่งหนึ่งของปี 2551) ทั้งนี้ จากการลงทุนดังกล่าว จะสามารถสร้างการจ้างงานได้ประมาณ 6,000 อัตรา
11. น่วยงานภาครัฐ International Enterprise Singapore (IE Singapore) ได้ให้คำแนะนำแก่ นักธุรกิจสิงคโปร์ถึงโอกาสที่ดีในการลงทุนในต่างประเทศช่วงวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก โดยประเทศที่มีศักยภาพ ได้แก่ อัฟริกา เนื่องจากเป็นตลาดที่น่าสนใจ มีทรัพยากรธรรมชาติ และการเมืองมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะเมือง Libya (มีน้ำมัน), Ghana (ทองและแร่ธาตุ), Mozambique and South Africa (สินค้าเกษตร) ภาคที่น่าสนใจในการลงทุนคือ การสื่อสารสารสนเทศและเทคโนโลยี พลังงาน น้ำมันและก๊าซ การศึกษา และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นอกจากอัฟริกาแล้ว ประเทศที่น่าสนใจอื่นๆคือ ละติน-อเมริกา และสาธารณรัฐอาหรับอิมิเรทส์ รวมถึงตลาดเดิม ได้แก่ จีน ตะวันออกกลาง อินเดีย และเวียดนาม ด้วย
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2552 กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ ได้คาดการณ์ว่า การเจริญเติบโตเศรษฐกิจสิงคโปร์จะถดถอยต่อไปอย่างต่อเนื่องในปี 2552 โดยมีปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของสิงคโปร์ คือ การเจริญเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลกที่ลดลงอย่างรวดเร็วและมีอัตราสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อเนื่องอย่างแรงต่อภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆที่ต้องพึงระวัง ได้แก่ (1) การค้าปลีกและอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ (2) การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในยุโรป (3) ความต้องการสินค้าจากประเทศผู้ผลิตในเอเชียลดลงมาก ทำให้ส่งผลกระทบอย่างแรงต่อภาค อุตสาห- กรรมสำคัญของสิงคโปร์ ได้แก่ (1) การผลิตสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ (2) การค้ากับทั่วโลกลดลงและส่งผลกระท่บต่อไปยังภาคการค้าส่ง/ค้าปลีก และการขนส่ง/คลังสินค้า
อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์มีประสบการณ์จากวิกฤตการณ์การเงินเมื่อปี 2544 และเมื่อมาประสบกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในครั้งนี้ จึงได้สร้างให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อเป็นวิถิทางให้ประเทศอยู่รอด และจะเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้การเจริญเติบโตเศรษฐกิจกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์จะยังคงอยู่ในระดับที่ถดถอยต่อไปในปี 2552 ทั้งนี้ กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ได้ประกาศคาดการณ์การเจริญเติบโต Gross Domestic Product (GDP) ปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ -5.0 ถึง -2.0 และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ -1.0 ถึง 0 ก็ตาม
ที่มา : Ministry of Trade and Industry, International Enterprise Singapore,
The Business Times & The Straits Times
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ สิงคโปร์
ที่มา: http://www.depthai.go.th