เศรษฐกิจอินเดียเป็นอย่างไรต้องพิสูจน์

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 4, 2009 15:13 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศอินเดียในช่วงเกิดภาวะวิกฤติการค้าโลกเป็นอย่างไร

วิกฤตเศรษฐกิจและการค้าโลกยังมีผลกระทบต่ออินเดียน้อยอันเนื่องมาจากภาคธุรกิจการเงินของอินเดียมีการเชื่อมโยงกับซับไพรม์ของสหรัฐน้อยมาก ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ประมาณ 60 % ยังอยู่ในชนบทซึ่งบริษัทผู้ผลิตของอินเดียส่วนใหญ่ก็พึงพาตลาดในประเทศกลุ่มนี้เป็นหลักมากกว่าการส่งออก นอกจากนั้นประชากร 1 ใน 3 ของอินเดียมีอายุต่ำกว่า 15 ปีขณะที่คนชั้นกลางและมีกำลังซื้อก็เติบโตอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของธุรกิจซ้อฟแวร์มีประมาณ 300 ล้านคน จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้อินเดียพึ่งพาตลาดในประเทศได้มากพอควร

ในปีงบประมาณ 2551 (เมษายน —มีนาคม) เศรษฐกิจของอินเดียขยายตัว 7% ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูง แม้ว่าจะต่ำปี 2550 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 9% ขณะที่อัตราการว่างงาน 6.8% ต่ำกว่าของจีนซึ่งอยู่ที่ระดับ 9% และแม้ว่าแนวโน้มทางเศรษฐกิจของอินเดียจะไม่ดีเท่ากับปีก่อนๆ แต่ยังจัดว่าดีกว่าประเทศอื่นๆในกลุ่ม BRIC ทั้งในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุน นักลงทุนต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นในการเข้าไปลงทุนในอินเดีย โดยในช่วงเมษายน 2551-มกราคม 2552 มีการไหลเข้าของลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศถึง 24,000 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในอีกด้านหนึ่ง A.T. Kearney ได้แถลงผลการวิจัยพบว่าอินเดียเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในธุรกิจค้าปลีก โดยตามติดมาด้วยเวียตนามเป็นอันดับสอง การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกยังคงมีอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัว โดยล่าสุดบริษัท Wipro ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ของอินเดียได้ทุ่มเงินกว่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายการดำเนินการ ขณะที่บริษัทอธิตยาบิรายักษ์ใหญ่ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าก็มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่พร้อมกัน 12 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2010

2. ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนในประเทศอย่างไร

ผลจากการศึกษาของสถาบัน Nielsen’s consumer confidence index พบว่าดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคอินเดียในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551มีสูงมากโดยอยู่ที่ระดับ 114 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ระดับ 84 ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค ปัจจัย 4 สินค้าคงทนยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แสดงให้เห็นว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกยังไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจอินเดียเท่าใดนัก

ปัจจุบัน เริ่มมีสัญญาที่ดีในหลายสาขา โดยเฉพาะในสาขาสินค้าคงทน ในกรณีของบริษัท LG มียอดการขายเพิ่มขึ้น 29% ในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ 2552 โดยยอดขายในโทรทัศน์ LCD ขยายตัวถึง 153% และคาดว่ายอดขายสินค้าคงทนในปี 2552 จะขยายตัวถึง 28% ขณะที่ซัมซุงแถลงว่าในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ 2552 มียอดขายเพิ่มขึ้น 30% ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตลง 4% ในทุกสาขาธุรกิจ ทำให้บริษัทต่างๆ หันมาแข่งกันตัดราคาลงเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นเทศกาลแต่งงานของอินเดียที่กำลังมาถึง (กุมภาพันธ์ —มิถุนายน) ซึ่งโดยวัฒนธรรมอินเดียถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่และต้องซื้อสินค้าคงทนใหม่ทั้งหมดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ยอดขายสินค้าคงทนขยายตัว

คนอินเดียส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อมั่นว่าด้วยตลาดในประเทศขนาดใหญ่ประชากรกว่า 1.1 พันล้านคนจะมีส่วนสำคัญในการช่วยพยุงใหญ่เศรษฐกิจกของประเทศยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าภาวะการชะลอตัวในหลายสาขาจะเริ่มปรากฎให้เห็นบ้างแล้วก็ตาม

ในด้านการท่องเที่ยวพบว่า มีคนอินเดียยื่นขอวีซามาประเทศไทย ที่สถานกงสุลใหญ่ไทยประจำเชนไนวันละประมาณ 300-400 คนใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจโลก แสดงให้เห็นว่าความนิยมมาเที่ยวประเทศไทยยังคงมีอย่างสม่ำเสมอ คนอินเดียบางคนถึงกับกล่าวว่าการมาท่องเที่ยวเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นค่าโรงแรม หรือค่าตั๋วเครื่องบิน บางครั้งถูกกว่าการท่องเที่ยวในอินเดียเองเสียอีก อนึ่ง คนอินเดียนิยมนั่งการบินไทยมาก ยิ่งรวยก็ยิ่งชอบการบินไทย เนื่องด้วยการบริการที่เข้าใจ (วัฒนธรรมอินเดีย) ใส่ใจ และเป็นกันเอง ซึ่งมีสายการบินน้อยรายที่จะมีคุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้ครบถ้วน น่าจะเป็นเคล็ดลับสู่ความสำเร็จที่ธุรกิจบริการของไทยนำไปใช้ได้เป็นอย่างดี

3. จากเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา หลายๆ ประเทศรณรงค์ให้บริโภคสินค้าภายในประเทศ สคต. มีแนวทางอย่างไรในการรักษาและขยายตลาดส่งออกของไทย

ดังที่กล่าวในตอนต้น ตลาดคนชั้นกลางซึ่งมีประมาณ 300 ล้านคนเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นเซกเมนต์ที่มีกำลังซื้อ จึงเป็นตลาดที่ผู้ส่งออกไทยควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่อายุยังไม่ถึง 40 ปี มีแนวโน้มการใช้ชีวิตแบบตะวันตกมากขึ้น และเริ่มให้ความสำคัญในคุณภาพสินค้ามากกว่าราคาเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ จึงเป็นโอกาสดีสำหรับสินค้าไทยที่มีคุณภาพ ในราคาที่จัดว่าไม่แพงสามารถตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม กระแสนิยมสินค้าผลิตในประเทศจะต้องมีเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงควรมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สามารถแข่งขันในตลาดอินเดียได้มากขึ้น เช่น การส่งออกชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ของใช้ในครัวเรือนไปประกอบในอินเดีย (ค่าแรงขั้นต่ำของอินเดียประมาณ 1 เหรียญสหรัฐ/วัน) จะช่วยทำให้สามารถแข่งขันในเรื่องราคากับผู้ผลิตในประเทศได้ดียิ่งขึ้น

4. จากการแข่งขันที่สูงขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย สินค้าไทยประเภทใดที่มีศักยภาพและลู่ทางการค้า เพราะเหตุผลใดที่สินค้ายังครองตลาดได้

สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับในด้านมาตรฐานและคุณภาพในตลาดอินเดีย สินค้าอุปโภคบริโภค เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน อัญมณีและเครื่องประดับ ของใช้ในครัวเรือน ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลไม้ และอาหารแปรรูป เป็นต้น ยังมีลู่ทางที่แจ่มใสในตลาดอินเดีย โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางซึ่งมีกำลังซื้อสูงขึ้น นอกจากนั้นวัตถุดิบที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมก็ยังมีลู่ทางที่ดี ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอัญมณี เป็นต้น สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงมากสำหรับตลาดอินเดียก็คือต้องมองตลาดอินเดียเป็นเมืองๆ ไป มากกว่าจะมองภาพรวม เช่น กรุงนิวเดลี มุมไบ บังกะลอร์ เชนไน โกลกัตตา ปูเน่และไฮเดอราบัดซึ่งมีอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็น IT ซ้อฟแวร์ ยานยนต์ และอิเล็คทรอนิคส์ ทำให้คนในเมืองเหล่านี้มีกำลังซื้อสูงมาก ชนิดที่ว่ารถหรูราคาแพงระดับโลกมีให้พบเห็นได้ไม่ยากในเมืองเหล่านี้

5. จากนโยบายแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ สคต. มีแนวทางการบริหารงาน และมีแผนรองรับกับสถานการณ์อย่างไร

หน้าที่หลักของ สคต. คือการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับสินค้าไทย โดยเฉพาอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กลยุทธเชิงรุกมากขึ้น เช่น การบริโภคอาหารแต่ละมื้อของคนอินเดียมีการบริโภคแป้งเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นโรตี นาน จาปาตี โดซา วาได อิตลี่ อุตตาปัม ปาระตะ หรือ ปูริ ล้วนใช้แป้งเป็นส่วนผสมหลัก แต่เราจะพบว่า 90% ของอาหารเหล่านั้นใช้แป้งสาลีและแป้งข้าวโพดเป็นหลัก มีการใช้แป้งมันสำปะหลังเป็นส่วนผสมน้อยมาก ซึ่งในจุดนี้ถือเป็นโอกาสที่แป้งมันสำปะหลังของไทยที่จะเข้าไปเจาะตลาด โดย สคต. เจนไนได้กระตุ้นและแนะนำให้ผู้ประกอบการอินเดียหันมาใช้แป้งมันสำปะหลังมากขึ้นในการประกอบอาหารและในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้มีการส่งออกมันสำปะหลังของไทยมากขึ้น

นอกจากนั้น การใช้กลยุทธ์นอกแบบ (Guerrilla warfare) ที่ประโยชน์สูงประหยัดสุด ควรนำมาใช้มากขึ้น เช่น การจับคู่ธุรกิจ B2B ทั้งผ่าน website: thaitradecenter.webs.com, thailandexhibition2009.webs.com และ thaiproduct-leaterfair09.webs.com และการจับคู่ธุรกิจในงานแสดงสินค้าในประเทศไทยและในอินเดียเอง ในงาน Made in Thailand Exhibition 2009 ณ เมืองเชนไน ระหว่างวันที่ 22-26 กรกฎาคม 2552 รวมไปถึงแสวงหาโอกาสให้กับสินค้าตัวใหม่ๆ เช่น เครื่องสีข้าว เครื่องจักรกลทางการเกษตร อุปกรณ์การประมง รวมถึงแสวงหาโอกาสให้กับธุรกิจที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุน เช่น การผลิตกระดาษ อาหารสัตว์ และการก่อสร้าง ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังตลาดอินเดีย กล่าวโดยสรุปก็คือ สคต. จะต้องเข้าหาลูกค้ามากขึ้น ไม่ใช่รอให้ลูกค้ามาหาเรา

6. ความคิดเห็นเกี่ยวกับ Mission ที่เดินทางมาร่วมงานแสดงสินค้าที่มีจำนวนน้อยลงนั้น เกิดจากปัจจัยอะไร

คาดว่าการที่มีจำนวน Mission มาประเทศไทยน้อยลงจะเป็นปัญหาเฉพาะในช่วงต้นของปี 2552 เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคของชาวอินเดียมีมากขึ้น และเป็นที่น่ายินดีว่าจำนวนผู้ร่วม Mission มาประเทศไทยตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 เป็นต้นมาของ สคต. เจนไน มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าคนอินเดียเริ่มมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจของอินเดียเองมากขึ้น เพราะมีความสบายใจว่าสินค้าที่สั่งซื้อจากไทยจะสามารถนำกลับไปขายที่อินเดียได้แน่นอน

ในท้ายที่สุดนี้ อยากจะขอเชิญชวนให้ทุกท่านที่สนใจตลาดอินเดียไปร่วมงาน Thailand Exhibition ระหว่างวันที่ 22-26 กรกฎาคม 2552 ณ เมืองเชนไน เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตนเองว่าเศรษฐกิจอินเดียยังน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ผอ. สำนักงานพาณิชย์ฯ ณ เมืองเจนไน

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ