1.1 เป็นไปตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป โดยให้ความช่วยเหลือและส่งเสริมเกษตรกรที่ผลิต/เก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรอินทรีย์ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ชุมชน โดยมีหลักการคือ
- ให้ความช่วยเหลือเฉพาะเกษตรกรผู้ผลิตเท่านั้นไม่รวมถึงผู้ประกอบการแปรรูปหรือผู้จัดจำหน่าย
- การช่วยเหลือหมายรวมถึงเงินที่ให้แก่เกษตรกรโดยตรงด้วย
- ในการขอรับการช่วยเหลือแต่ละแคว้นต้องจัดทำแผนการดำเนินการและส่งให้คณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้พิจารณาอนุมัติและมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 5 ปี
- มูลค่าการให้ความช่วยเหลือในแต่ละปีจะมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 200 — 600 ยูโรต่อเฮคตาร์ (เปลี่ยนแปลงไปตามประเภทของเกษตรกรรม)
1.2 ตามแผนดำเนินการด้านเกษตรอินทรีย์แห่งชาติของรัฐบาลอิตาลี ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดเกษตรอินทรีย์ขึ้น โดยในปี 2549 มีมูลค่า 5 ล้านยูโรและปี2550 ,2551 และ 2552 มีมูลค่าปีละ 10 ล้านยูโรตามลำดับ
เงินกองทุนนี้จะไม่ได้ถึงมือเกษตรกรโดยตรงแต่จะเป็นการใช้เพื่อการพัฒนาภาคเกษตรอินทรีย์ให้เป็นระบบสากล การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การให้บริการด้านการสื่อสารและการค้าเป็นต้น
2.1 จากข้อมูลของหน่วยงาน SINAB ซึ่งดูแลสินค้าเกษตรอินทรีย์และจัดตั้งโดยกระทรวงเกษตรอิตาลีฯ ปรากฏว่า ณ ธ.ค. 2550 อิตาลีมีผู้ประกอบการสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งสิ้น 50,246 รายลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 1.55 แยกเป็นผู้ผลิต (Producers) 43,159 ราย ผู้ผ่านกรรมวิธีการผลิต (Processors) 4,782 รายและเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ผ่านกรรมวิธีการผลิต 2,065 ราย
มีพื้นที่ทำการเพาะปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งสิ้น 1,150,253 เฮคตาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ร้อยละ 0.18 แคว้นที่มีพื้นที่ในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์มากที่สุดได้แก่ ซีซีลี บาซิลีคาต้า และเอมิเลียโรมาญนา ตามด้วยมาเคร์ คาลาเบีรย และลาซิโอ
2.2 ในกลุ่มสหภาพยุโรป อิตาลีเป็นผู้นำในด้านจำนวนฟาร์มที่ปลูกพืชผักเกษตรอินทรีย์และติดอันดับรายที่ 5 ของโลกรองจาก ออสเตรเลีย อาร์เจนติน่า จีน สหรัฐ กลุ่มประเทศที่ตามหลังได้แก่ เสปน เยอรมัน และอังกฤษ(ตามประเภทของผลผลิตเกษตรอินทรีย์) ทั้งนี้ อิตาลีเป็นลำดับแรกของโลกที่เป็นผู้ผลิตพืชผัก ซีเรียล องุ่นและส้ม รวมถึงมะกอก และเป็นลำดับที่สองรองจากประเทศไทยสำหรับการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์
3.1 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้มีการพัฒนามากกว่าสินค้าประเภทอื่นในภาคการเกษตร กระแสสินค้าเกษตรอินทรีย์นี้ได้รับการส่งเสริมจากหลายปัจจัยคือ
- ผู้บริโภคให้การใส่ใจมากขึ้นในสินค้าที่บริโภค และให้ความสำคัญไม่เพียงแต่รสชาติเท่านั้นแต่รวมถึงการใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
- ให้ความสำคัญต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น จนกลายเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อตลาด
- ความต้องการของผลผลิตเกษตรอินทรีย์ที่จดทะเบียนได้เพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากปัญหาเชื้อโรคใหม่ๆทางด้านอาหารที่เพิ่มมากขึ้น เช่น โรควัวบ้า หรือเชื้อไวรัสในไก่ ฯลฯ 3.2 ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของอิตาลีมีมูลค่าประมาณ 2,650 ถึง 2,700 ล้านยูโร โดย 1,650 ล้านยูโร มาจากร้านค้าปลีก หรือร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง ในขณะที่200 ถึง 250 ล้านยูโรมาจากโรงอาหารในโรงเรียน
4.1 ร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง
ในปี 2551 ได้ประมาณการว่ามีร้านจำหน่ายสินค้าเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์จำนวน 100 ร้าน ส่วนใหญ่(ร้อยละ 67)อยู่ทางเหนือของอิตาลี ร้านค้าปลีกเหล่านี้มักจะพบตามชุมชนที่มีรายได้ดีและมักมีผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่มาจากธรรมชาติจำหน่ายรวมอยู่ด้วยเช่นกัน รายขายสินค้ารายใหญ่ ได้แก่ Naturasi, Bottega และ Natura
4.2 ร้านค้าปลีกรายใหญ่
- อัตราการขยายตัวของร้านประเภทลดราคาเพิ่มขึ้นถึง +45.9% โดยร้านค้าประเภทขายของชำจะมีการขยายตัวค่อนข้างต่ำคือ +17.3% และการขยายตัวของห้างจัดจำหน่ายรายใหญ่อยู่ที่ +5%
ตารางแสดงการบริโภคแยกตามช่องทางการจัดจำหน่าย(ปี 2551)
% เพิ่ม/ลดของมูลค่าขายจากปีก่อน
ซุปเปอร์มาร์เก็ต 5.2% ห้างสรรพสินค้า 5.8% ร้านขายของชำ 17.3% ร้านค้าประเภทลดราคา 45.9% อื่นๆ 2.5%- ปัจจุบัน ในซุปเปอร์มาร์เก็ตได้มีการขายสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างหลากหลาย ผู้ประกอบการายใหญ่ 2 ราย ได้แก่Coop Italia และ Esselunga เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่ได้มีการพัฒนาจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเอง อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการรายอื่นเช่น A&O, Auchan, Bennet,
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตหลัก 2 ราย ที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ในอิตาลีได้แก่
Coop Italia
เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ภายใต้เครื่องหมายการค้า BIO ตั้งแต่ปี2543 โดยในปี2550 มียอดจำหน่ายถึง50% ของยอดจำหน่าย ทั้งหมด( มูลค่า 80 ล้านยูโร) แบ่งเป็นผักสดและผลไม้40% อาหารกล่อง 60%
Esselunga Spa
เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์เครื่องหมายการค้า Esselunga Bio ตั้งแต่ปี2542 มีมูลค่าการค้า 73 ล้านยูโรจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งสิ้น 252 ชนิดสินค้าซึ่งในจำนวนนี้เป็นผักสดและผลไม้ถึง 63% อาหารกล่อง 30% และผลิตภัณฑ์นม เนย 7%
4.3 การจำหน่ายสินค้าระบบตรงถึงผู้บริโภค (direct sales)
เป็นช่องทางจำหน่ายแบบใหม่ซึ่งในช่วงตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมามีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2551 ผู้จำหน่ายสินค้าระบบตรงได้เพิ่มขึ้นถึง 17% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นถึง 90 % จากปี2546 ชี้ให้เห็นว่า ในภาวะสถานการณ์วิกฤตทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคก็ยังคงต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า
4.4 การขายผ่านโรงเรียนและโรงอาหาร
โรงเรียนทั้งในส่วนเอกชนและของภาครัฐ ได้เริ่มมีการแนะนำอาหารเกษตรอินทรีย์เข้าสู่โรงอาหารของตนโดยในปี 2551 มีจำนวนเพิ่มขึ้น 16% และ 41% ช่วงระหว่างปี2546-2551 ผลจากการนำอาหารเกษตรอินทรีย์เข้าสู่โรงอาหารของโรงเรียนทำให้ยอดการรับประทานอาหารกลางวันเพิ่มขึ้น 6% ในปี2008 และ 25% ในช่วงระหว่างปี2003 — 2008 สัดส่วนดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันว่าช่องทางการจำหน่ายอาหารเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียนมีสถิติที่สูงขึ้น ดังนั้นประเทศอื่นๆ จึงพยายามนำตัวอย่างของอิตาลีนี้ไปพัฒนาในประเทศตน
ภายในโรงเรียนของภาครัฐและภาคเอกชน
ปี จำนวนโรงอาหาร จำนวนมื้อ/ วัน 2546 561 785,000 2547 608 806,000 2548 647 839,000 2549 658 896,000 2550 683 924,000 2008 791 983,0004.5 นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารเกษตรอินทรีย์ในอิตาลีประมาณ 100 ร้าน ซึ่งมีมากทางภาคเหนือ ทั้งนี้ร้านอาหารที่ปลูกพืชผักเกษตรอินทรีย์ไว้ใช้เองยังไม่มีมากนัก แต่พบว่าในร้านอาหารคุณภาพดีจะมีผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์เช่น ไวน์ น้ำมันมะกอก เนยแข็ง และผักสดให้ลูกค้าเลือกได้ตามความต้องการ
5.1 โดยหลัก ผู้บริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ ผู้บริโภคแต่เฉพาะอาหารเกษตรอินทรีย์อย่างเดียว เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ และปัจจัยทางด้านราคาไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และผู้บริโภคตามวาระโอกาส ซึ่งจะให้ความสำคัญทางด้านราคามากกว่าด้านประโยชน์ต่อ สุขภาพ
5.2 ผลการวิจัยของหน่วยงาน ISAB ปรากฏว่า 1ใน4 ของชาวอิตาเลี่ยน ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักคำว่า“ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ” (biological products)ในขณะที่1 ใน 7 ยืนยันว่ามีข้อมูลที่เพียงพอและเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความตื่นตัวต่อการศึกษาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งได้แก่ผู้ชาย โสด มีการศึกษาสูง อายุระหว่าง 40 -49 อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของอิตาลีมีหน้าที่การงานดีหรือเป็นเจ้าของกิจการที่มีรายได้ดี
- โดยทั่วไป เพศหญิงจะให้ความสนใจต่อการซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์มากกว่าเพศชาย ผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์มักจะอยู่ในช่วงวัย 25 — 44 ปีเป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง มีการศึกษาสูงระดับปริญญา และอาศัยในภาคเหนือตอนกลาง ผู้บริโภคจะเข้าร้านค้าเกษตรอินทรีย์สัปดาห์ละครั้ง ในแต่ละครั้งจะมีการวางแผนล่วงหน้าว่าจะซื้อสินค้าประเภทใด (64% ของผู้ให้สัมภาษณ์)
- ผู้บริโภคชาวอิตาลีมีความตื่นตัวในเรื่องอาหาร และให้ความสนใจอาหารเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ตาม 67% ของผู้บริโภค ยังไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ ทั้งนี้ ผู้บริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ประมาณร้อยละ 3 มาจากทางภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ และประมาณ 80%เป็นผู้มีฐานะจากทางภาคเหนือของประเทศ
- ในภาวการณ์เศรษฐกิจที่ประสบปัญหาในขณะนี้ 22%ของผู้บริโภคชาวอิตาลียังคงให้การสนับสนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และไม่มีส่วนผสมของสารกันเสีย แม้ว่าจะมีราคาที่สูงกว่าก็ตาม
5.3 ใน ปี2551 การบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ในอิตาลีมีมูลค่าเพิ่มขึ้น +5.4% น้อยกว่าปี2550 เพิ่มขึ้น+10.2% อย่างไรก็ตามการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ยังคงมีมูลค่าสูงกว่าการบริโภคอาหารด้านอื่นๆ (ซึ่งตามสถิติในปี 2551 มูลค่าเติบโตแค่+4.4%) โดยแยกเป็นการบริโภคผักและผลไม้(+ 20%) ผลิตภัณฑ์เด็กอ่อน (+16% )ขนมปังและเส้นก๋วยเตี๋ยวประเภทพาสต้า และข้าว( +14%) ในทางกลับกันผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเช้ามีกระแสลดลง(-13.8%) ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้นได้แก่ไข่นม โยเกิร์ตตามด้วยนมถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์เด็กอ่อน น้ำผลไม้ น้ำมันมะกอก และเส้นก๋วยเตี๋ยวประเภทพาสต้า
ตารางการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ในอิตาลี
ปี 2551 %เพิ่ม/ลด จากปี 2550 สัดส่วน % นม เนยแข็ง 1.5% 19.8% ผัก/ ผลไม้(สด/ผ่านกรรมวิธีการผลิต) 19.8% 19.5% ผลิตภัณฑ์อาหารเช้า -13.8% 14.1% เครื่องดื่ม 2.7% 10.0% ขนมปัง/ พาสต้า/ ข้าว 14.3% 7.7% ไข่ 14.1% 7.7% สินค้าเด็กอ่อน 16.1% 5.7% น้ำมัน 7.1% 4.8% น้ำผึ้ง 7.5% 3.7% ไอศกรีม/ อาหารแช่แข็ง 10.0% 2.4% อื่นๆ 1.9% 4.6% รวม 5.4% 100.0%5.4 หากพิจารณาแยกเป็นรายแคว้น ปรากฏว่าการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ในทางตอนเหนือจะค่อนข้างหนาแน่นได้แก่ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ 44.1% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 27.2% ส่วนอัตราการเติบโตในภาคใต้อยู่ที่ + 12.3% และ +8.5% รายละเอียดตามตารางข้างล่าง
ตารางการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ในอิตาลีแบ่งตามพื้นที่
%เพิ่ม/ลด จากปี 2550 สัดส่วน %
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ 6.8% 44.1% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ -0.8% 27.2% ภาคกลาง และ ซาร์เดนญ่า 8.5% 19.7% ภาคใต้และซิซิลี 12.3% 9.0% รวมอิตาลีทั้งประเทศ 5.4% 100.0%ผักสดเกษตรอินทรีย์ที่ผู้บริโภคนิยม 5 ลำดับต้นในอิตาลีปี 2551
%เพิ่ม/ลด จากปี 2550 สัดส่วน %
มะเขือเทศ -6.7% 13.2% บวบ -1.3% 7.7% อาร์ติโชค 50.7% 5.7% ผักสลัด 1.1% 5.4% มันฝรั่ง 0.6% 5.3%ผลไม้สดเกษตรอินทรีย์ที่ผู้บริโภคนิยม 5 ลำดับต้นในอิตาลีปี 2551
%เพิ่ม/ลด จากปี 2550 สัดส่วน %
แอ๊ปเปิ้ล 10.5% 13.8% กล้วย 8.2% 8.8% ส้ม -7.1% 8.2% ลูกแพร์ 3.4% 6.8% พีช 6.9% 6.5% 6. ราคาจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ในอิตาลี6.1 ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์จะมีราคาสูงกว่าสินค้าพื้นเมืองประเภทอื่น โดยราคาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่
6.1.1 การเก็บเกี่ยวและขั้นตอนการผลิตที่มีต้นทุนสูง (วัสดุธรรมชาติมีราคาที่สูงกว่าและจำเป็นต้องใช้แรงงานมากกว่า
6.1.2 ต้องมีประกาศนียบัตรรับรองผลิตภัณฑ์ซึ่งมีต้นทุนสูง จึงมีความจำเป็นต้องรวมค่าธรรมเนียมเข้าในผลิตภัณฑ์
6.1.3 ตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ยังคงมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับตลาดอาหารโดยรวม (ประมาณ 3 %) ดังนั้น ความต้องการของผู้บริโภคยังคงไม่มากพอที่จะดึงราคาให้ต่ำลงได้
6.2 โดยรวมแล้ว ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ในอิตาลีจะสูงกว่าผลิตภัณฑ์ปกติประมาณ 5-50% ซึ่งขึ้นกับปัจจัยดังนี้
- ประเภทของสินค้า ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จะมีราคาสูงที่สุด เนื่องจากการให้อาหารและระยะเวลาการเลี้ยงดูที่ค่อนข้างยาว ในขณะที่น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ไวน์และ อาหารจำพวกเส้นประเภท พาสต้า กลับมีราคาลดลง เนื่องจากสามารถกระจายสู่ตลาดได้มากกว่า
- ช่องทางการจำหน่าย มียอดจำหน่ายสูงสุดที่ประมาณ 10-30% ในซุปเปอร์มาร์เก็ตและเพิ่มสูงขึ้นในร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง
ตารางแสดงราคาขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ ณ ธ.ค. 51 Organic Food Prices (at Dec. 08,Euro per Kg./Lt.) by distribution channel
ราคา: ยูโร/กก./ลิตร
Specialt Store Direct Sale Vegetables 2.00 — 5.15 1.18-5.00 Fruits 2.04 - 9.65 1.68-6.00 Pasta 3.38 2.56 Rice 3.74 - 3.98 2.56-2.71 Oil 11.54 11.56 Wine 6.03- 9.01 5.50-7.27 Meat 15.00- 17.01 10.00-11.00 แหล่งที่มาของข้อมูล: ISMEA 7. การส่งออกอิตาลีเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารเกษตรอินทรีย์รายหลักของโลกมีมูลค่าการส่งออกปีละ 800 ล้านยูโรโดยส่งออกไปยังยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น
8.1 อิตาลีนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์จากต่างประเทศปีละกว่า 40,000 ตันโดยมีธัญพืช(Cereals) ผักและผลไม้รวมกันแล้วสัดส่วนกว่า 60 % (เฉพาะข้าวอินทรีย์อิตาลีนำเข้าในปี 2550 ปริมาณ 2,254 ตัน) ผลไม้อินทรีย์ที่นำเข้าได้แก่ องุ่นแห้ง แอปเปิล องุ่น แปริคอต ถั่วเม็ดแห้ง มะพร้าว ผักอินทรีย์ที่นำเข้าได้แก่ หัวหอมและมันฝรั่ง มีสัดส่วนรวม 98 % ตามด้วยแครอท พริกไทย มะเขือเทศ ฝักทองและกระเทียม รายละเอียดตามตารางแนบ 1
8.2 ผู้นำเข้าผักผลไม้อินทรีย์รายใหญ่ของอิตาลี ได้แก่ BRIO SPA, ECOR SPA, Adria Fruit Italia SPA และ APOFRUIT ITALIA
8.2.1 BRIO SPA มีมูลค่าการค้าปีละ 20 ล้านยูโรและนำเข้าผักเกษตรอินทรีย์เกษตรปีละประมาณ 7 ล้านยูโร โดยนำเข้าจากอเมริกาใต้ อาฟริกาใต้ เอควาดอร์ อียิปต์ ตูนีเซีย นิวซีแลนด์ ตุรกีและเปรู สินค้าที่จำหน่ายมากกว่า 2,000 รายการ
8.2.2 ECOR SPA มีมูลค่าการค้าปีละ 18 ล้านยูโรและนำเข้าผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ปีละประมาณ 5 ล้านยูโร โดยนำเข้าจากอเมริการใต้ เอควาดอร์ แอฟริกา ตูนีเซีย บราซิลและอียิปต์ บริษัทจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าส่ง ( wholesalers) และร้านขายเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรี
8.2.3 Adria Fruit Italia SPA มีมูลค่าการค้าปีละ 2 ล้านยูโรและเป็นผู้นำเข้ากล้วยรายใหญ่ โดยนำเข้าจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แอฟริกา บราซิลและตูนีเซีย
8.2.4 APOFRUIT ITALIA เป็นสหกรณ์ผู้นำเข้ามีมูลค่าการค้าปีละ 152 ล้านยูโร และนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่จากอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มูลค่าการนำเข้าปีละประมาณ 5 ล้านยูโร
8.3 การนำเข้าจากไทย
ในปี 2550 อิตาลีนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์จากไทย ปริมาณ 1,025 ตัน เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งนำเข้าปริมาณ 533 ตันถึงร้อยละ 9 โดยสินค้านำเข้าสำคัญได้แก่ ข้าวหอมมะลิ น้ำมันปาล์มและมะพร้าว
ประเทศคู่แข่งในแถบเอเชียที่สำคัญได้แก่ จีน (พืชตระกูลถั่ว เมล็ดพันธ์งา ถั่วเหลือง ชาเขียวเยลลี่ วอลนัท)ฟิลิปปินส์ (อ้อย น้ำตาล) และอินเดีย (เครื่องเทศ สมุนไพร) ส่วนเวียดนามและอินโดนีเซีย ยังไม่พบว่ามีการนำเข้าจากอิตาลี
8.4 หลักเกณฑ์การนำเข้า
ตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรป สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่นำเข้าจากต่างประเทศต้องมีมาตรฐานเท่าเทียมกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหภาพยุโรป รัฐบาลอิตาลีจึงได้จัดทำคู่มือการนำเข้าสินค้าที่จะติดฉลากเกษตรอินทรีย์ไว้ โดยผู้นำเข้าต้องยื่นแบบฟอร์มขออนุญาตต่อกระทรวงนโยบายเกษตรของอิตาลี (Ministry of gricultural Policies) และแจ้งชื่อหน่วยงานตรวจสอบจาก 9 หน่วยงานที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงฯ ประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปที่มีข้อตกลงกับสหภาพยุโรปแล้วสามารถส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปยังอิตาลีได้แต่ประเทศที่ยังไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีของสหภาพยุโรป ผู้นำเข้าในสหภาพยุโรป ต้องยื่นแบบฟอร์มพิเศษ ถ้าหน่วยงานตรวจสอบอยู่ในสหภาพยุโรปจะตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ระบบเกษตรอินทรีย์ของประเทศผู้ส่งออก แต่ถ้าหน่วยงานตรวจสอบไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรป ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าระบบเกษตรอินทรีย์ในประเทศผู้ส่งออกมีมาตรฐานเท่าเทียมกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหภาพยุโรป หน่วยงานตรวจสอบต้องส่งรายงานการผลิต การเก็บเกี่ยวหรือการแปรรูป ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เส้นทางถนนที่เข้าถึงพื้นที่เพาะปลูก และประเภทธุรกิจ แผนผังของพื้นที่เพาะปลูกทั้งเกษตรอินทรีย์และสินค้าปกติพืชที่เพาะปลูก เทคนิคการผลิต เช่น ปุ๋ย ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ป้องกันผลผลิต ชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันที่เข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ และสถานภาพ 3 ปีก่อนหน้าที่จะเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ รายชื่อหน่วยงานตรวจสอบและออกใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ รายชื่อสมาคมที่เกี่ยวข้องและรายชื่อผู้นำเข้า ปรากฏตามเอกสารแนบ 1,เอกสารแนบ 2,และเอกสารแนบ 3 ตามลำดับ
8.5 กฏระเบียบที่เกี่ยวข้อง
- ระเบียบคณะกรรมการ EEC 2092/91 ว่าด้วยเรื่องผลผลิตเกษตรอินทรีย์ของผลิตภัณฑ์เกษตร
- ระเบียบคณะกรรมการ EC 834/2007 และข้อเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้อง : ซึ่งได้ทดแทนระเบียบคณะกรรมการเบื้องต้น 2092/91 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 ว่าด้วยเรื่องผลผลิตเกษตรอินทรีย์และฉลากของผลิตภัณฑ์เกษตร
- ระเบียบคณะกรรมการ EC889/2008 และข้อแก้ไขที่เกี่ยวข้อง : กำหนดรายละเอียดและหลักเกณฑ์ในการปฎิบัติตามระเบียบคณะกรรมการ EC 834/2007 ว่าด้วยเรื่องผลผลิตเกษตรอินทรีย์และฉลากของผลิตภัณฑ์เกษตร โดยคำนึงถึงการควบคุมฉลากของผลผลิตเกษตรอินทรีย์ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552
9.1 ช่วงที่ผลผลิตในอิตาลีออกสู่ตลาด อิตาลีจะนำเข้าผักผลไม้จากต่างประเทศน้อย เช่น Lemons ซึ่งมีผลิตมากในอิตาลีและเป็นสินค้าส่งออกหลักของอิตาลี ส่วนผู้ผลิตสินค้าแปรรูปต้องการวัตถุดิบราคาถูกกว่าที่ผลิตในอิตาลีเช่น มะเขือเทศ แครอท เซเลอรีรวมทั้งน้ำผลไม้เข้มข้น (Concentrated juice) ซึ่งจะมีลู่ทางดีในการส่งออกไปยังอิตาลี
9.2 ผู้นำเข้าสินค้าทั้งในอิตาลีและในประเทศอื่นที่อิตาลีนำเข้าต้องการความมั่นใจว่าสินค้าที่นำเข้ามีคุณภาพมาตรฐานและสามารถตรวจสอบกลับได้
9.3 สินค้าที่มีความต้องการสูงในอิตาลีเช่น หัวหอม แครอท แอปเปิลและแพร์ เกษตรกรของอิตาลีเองยังผลิตได้ในต้นทุนที่สูง ทำให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่นำเข้าโดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อน เช่น กล้วย สับปะรด อะโวคาโดมะพร้าว จึงมีโอกาสในตลาดอิตาลีค่อนข้างมากประเทศที่มีโอกาสตลาดสูง คือ ประเทศแถบเมดิเตอเรเนียน เช่นตุรกีอียิปต์ตูนีเซียและลิเบีย เนื่องจากผลิตสินค้าได้หลากหลาย เช่น มะกอก พืชเส้นใย น้ำผลไม้เข้มข้น และมะเขือเทศกระป๋อง นอกจากนี้สำหรับสินค้าตัดแต่งพันธุกรรม (Genetically modified organisms-GMOs) อิตาลีเห็นว่าไม่ได้มาจากธรรมชาติและไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีต่อประเทศกำลังพัฒนาที่จะส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปยังอิตาลี
9.4 การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ใช่สินค้าแปรรูปส่วนใหญ่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยหลักในการผลิต ประเทศกำลังพัฒนาที่มีค่าแรงถูกกว่าจะได้เปรียบในการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปยังอิตาลีและสหภาพยุโรป แต่ข้อจำกัดก็มีมากมายด้วยเช่นกันได้แก่ ตลาดยังค่อนข้างเล็ก การนำเข้าจากต่างประเทศที่ระยะทางไกลอาจมีภาระด้านค่าขนส่งและการเน่าเสีย มาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดและการควบคุมสินค้า GMOs เป็น
9.5 โอกาสของสินค้าไทยในตลาดอิตาลียังคงมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าข้าวซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้ากว่าร้อยละ 60 การนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์จากไทยทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2550 อิตาลีนำเข้าข้าวเกษตรอินทรีย์จากทั่วโลกปริมาณ 2,254 ตัน เป็นการนำเข้าจากไทยถึง 1,025 ตันหรือคิดเป็นร้อยละ 45 ของการนำเข้าสินข้าวเกษตรอินทรีย์ของอิตาลี
แหล่งข้อมูล
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อิตาลี
2. SINAB
3. Ismea ( Institution of service for food and agricultural market)
4. นิตยสาร Largo Consumer
5. อื่นๆ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโรม
ที่มา: http://www.depthai.go.th