เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการของการเติบโต GDP ของอินเดียที่ระดับ 6.7 % ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกหลายสถาบันได้คาดการณ์ไว้ว่าไม่เกิน 5.5%
ทั้งนี้ ปีงบประมาณของอินเดียสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี ได้เริ่มส่งสัญญาที่ดีตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปัจจัยที่สำคัญและมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ การบริโภคของภาครัฐในไตรมาสที่ 4 (ซึ่งมีส่วนอย่างสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ) มีการขยายตัวถึง 22% มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น การดำเนินโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล การลดภาษีสรรพสามิตทุกประเภทลง 4% การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อการซื้อบ้าน และรัฐบาลแบกรับภาระดอกเบี้ย 2% ในเงินกู้ของภาคธุรกิจส่งออก เป็นต้น เริ่มมีส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น ซีเมนต์ เหล็ก ยานยนต์ การก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เป็นต้น
ในด้านการลงทุน นักลงทุนต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นในการเข้าไปลงทุนในอินเดีย โดยในช่วงเมษายน 2551-มกราคม 2552 มีการไหลเข้าของลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศถึง 24,000 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในอีกด้านหนึ่ง A.T. Kearney ได้แถลงผลการวิจัยพบว่าอินเดียเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในธุรกิจค้าปลีก โดยตามติดมาด้วยเวียตนามเป็นอันดับสอง การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกยังคงมีอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัว โดยล่าสุดบริษัท Wipro ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ของอินเดียได้ทุ่มเงินกว่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายการดำเนินการ ขณะที่บริษัทอธิตยาบิรายักษ์ใหญ่ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าก็มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่พร้อมกัน 12 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2010
อย่างไรก็ตามภาคส่งออกยังเป็นสาขาที่น่าเป็นห่วง โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2552 การส่งออกของอินเดียลดลง 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3.4% เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีการขยายตัว 20% ซึ่งรัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือภาคส่งออกที่เหมาะสมต่อไปโดยเร็ว
สำนักงานพาณิชย์ฯ ณ เมืองเจนไน
ที่มา: http://www.depthai.go.th