ปี 2551 ปี 2552
Real GDP growth (%) 9.00 6.00 Consumer price inflation (av; %) 5.90 -0.20 Budget balance (% of GDP) -0.10 -3.60 Current-account balance (% of GDP) 10.20 6.10 Commercial banks' prime rate (year-end; %) 5.60 5.40 Exchange rate ฅ:US$ (av) 6.95 6.84 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับจีน มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลดล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 4,218.84 100.00 -23.93 สินค้าเกษตรกรรม 713.65 16.92 -27.15 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 62.25 1.48 -7.54 สินค้าอุตสาหกรรม 3,064.55 72.64 -18.22 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 378.38 8.97 -49.65 สินค้าอื่นๆ 0.0 0.0 -100.02 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับจีน มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลดล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 4,638.34 100.00 -27.58 สินค้าเชื้อเพลิง 60.59 1.31 -45.55 สินค้าทุน 2,028.00 43.72 -19.42 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 1,448.18 31.22 -41.52 สินค้าบริโภค 988.83 21.32 -17.71 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 66.50 1.43 -32.02 สินค้าอื่นๆ 46.24 1.00 5,610.16 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - จีน 2551 2552 D/%(ม.ค. — เม.ย.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 11,950.39 8,857.18 -25.88 การส่งออก 5,545.79 4,218.84 -23.93 การนำเข้า 6,404.59 4,638.34 -27.58 ดุลการค้า -858.80 -419.50 -51.15 2. การนำเข้า จีนเป็นตลาดนำเข้าอันดับที่ 2 ของไทย มูลค่า 4,638.34 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 23.61 สินค้านำเข้า สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลดล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 4,638.34 100.00 -27.58 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ฯ 709.36 15.29 -20.22 2.เครื่องจักรไฟฟ้าฯ 636.11 13.71 -18.03 3.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 443.75 9.57 -13.41 4.เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 417.41 9.00 -28.15 5.เคมีภัณฑ์ 313.12 6.75 -29.79 อื่น ๆ 569.94 12.20 -28.60 3. การส่งออก จีนเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 3 ของไทย มูลค่า 4,218.84 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ -23.93 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลดล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกรวม 4,218.84 100.00 -23.93 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ 1,086.53 25.75 -67.65 2.ยางพารา 441.03 10.45 -34.20 3.เคมีภัณฑ์ 352.11 8.35 34.06 4.เม็ดพลาสติก 318.49 7.55 -13.98 5.แผงวงจรไฟฟ้า 192.78 4.57 -23.05 อื่น ๆ 495.64 11.70 -24.20 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีน ปี 2552 (มค.-เม.ย.) ได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 0.79 59.89 และ 21.91 ตามลำดับ ในขณะที่ปี 2552 (ม.ค.-เม.ย.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 30.82 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ยางพารา : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 66.11 17.51 และ 21.91 ตามลำดับ ในขณะที่ปี 2552 (มค.-เม.ย.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 34.20 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เคมีภัณฑ์ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่าปี 2551 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 36.83 ในขณะที่ปี 2549 2550 และ 2552 (ม.ค.- เม.ย.) มีอัตราการขยายตัว เพิ่มขึ้น 126.08 9.49 และ 34.06 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เม็ดพลาสติก : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 18.95 9.33 และ 8.08 ตามลำดับ ในขณะที่ปี 2552 (ม.ค.-เม.ย.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 13.98 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
แผงวงจรไฟฟ้า : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทย รองจากสิงคโปร และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่า ปี 2551 และ 2552 มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 10.26 และ 23.05 ในขณะที่ปี 2549 และ2550 มีอัตราขยายตัว เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.64 และ 33.11 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เหรียญสหรัฐ
3. เคมีภัณฑ์ 352.11 34.06 15.ทองแดงและผลิตภัณฑ์ 44.41 20.66 16.เครื่องป้องกันวงจรไฟฟ้า 44.30 33.27 17.เครื่องโทรศัพท์/ตอบรับ 39.99 205.67 4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดจีนปี 2552 (ม.ค. -เม.ย.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 17 รายการ คือ อันดับที่ / รายการ มูลค่าล้าน อัตราการขยายตัว%เหรียญสหรัฐ
1.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 1,086.53 -30.82 2.ยางพารา 441.03 -34.20 4.เม็ดพลาสติก 318.49 -13.98 5.แผงวงจรไฟฟ้า 192.78 -23.05 6.น้ำมันสำเร็จรูป 192.31 -51.07 9.น้ำมันดิบ 120.07 -62.11 11.เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ 82.79 -3.52 12.มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 54.22 -14.41 13.วงจรพิมพ์ 51.66 -15.95 14.ข้าว 50.05 -39.91 18.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 37.22 -45.15 19.ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง 33.76 -13.89 20.เครื่องคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น 31.56 -9.23 21.ผลิตภัณฑ์พลาสติก 27.55 -28.17 22.เครื่องทำสำเนา 25.72 -43.42 23.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 25.42 -35.80 25.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ -20.13 -0.02 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติมกระทรวงพาณิชย์จะจัดโครงการจัดงานแสดงสินค้าเกษตรไทย ระหว่างวันที่ 6-15 มิถุนายน 2552 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ “Thai Agricultural Products Caravan in China 2009” โดยเป็นการนำสินค้าเกษตรของไทย ผลไม้เมืองร้อนชนิดต่างๆ อาทิ มะม่วง มังคุด ทุเรียน ส้มโอ ฯลฯ ไปโรดโชว์ในเมืองที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูงทางตอนเหนือของจีน จำนวน 5 เมือง ประกอบด้วย เทียนจิน เสิ่นหยาง ปักกิ่ง ต้าเหลียน และซีอัน ซึ่งทุกเมืองที่เดินทางไปแสดงสินค้าในครั้งนี้ ล้วนเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าที่สำคัญทางตอนเหนือของจีน ที่จะทำให้เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าเกษตรของไทยไปยังทุกภูมิภาคในประเทศจีนได้ โดยเป็นโครงการส่งเสริมสินค้าเกษตรไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังมีความต้องการจำนวนมากอยู่ ประเทศจีนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกไม่มากนัก ซึ่งการจัดโรดโชว์ในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีของไทยในการขยายตลาดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อน ซึ่งไทยถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีศักยภาพทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณ ที่สามารถรองรับความต้องการนำเข้าเพื่อบริโภค หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆในตลาดจีนได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ทั้งสองประเทศเกิดความร่วมมือในการส่งออกนำเข้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน
สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทจะเริ่มส่งออกแผ่นเหล็กไปจีนอีกครั้ง ช่วงไตรมาส 2/52 หลังจากหยุดการส่งออกไปเป็นเวลาหลายปีโดยเชื่อว่าการส่งออกเหล็กไปจีนจะช่วยผลักดันให้สัดส่วนมูลค่าส่งออกของบริษัทในปี 2552 ไปสู่เป้าหมายที่ 10%จากปีก่อนที่ส่งออกเพียง 3-4% โดยคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกไปจีนสูงหลายพันตัน ขณะที่เชื่อว่าตลาดจีนจะกลับมาเป็นผู้นำเข้าเหล็กอีกครั้งปีนี้ โดยเห็นแนวโน้ม ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/52 โดยเฉพาะเดือน มี.ค.52 การนำเข้าและการส่งออกเหล็กของจีนเข้าสู่สมดุลหลังจากที่เป็นผู้ส่งออกสุทธิมาตั้งแต่ช่วงหลังปี 48 จากในอดีตที่จีนเคยเป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ โดยในปี 46-47 จีนมีปริมาณนำเข้าถึง 3.5 ล้านตัน โดยบริษัทประเมินยอดขายแล้ว มีแนวโน้มว่าจะดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากบริษัทคู่แข่ง คือ GSTEEL และ GJS ผลิตและขายน้อยลง เนื่องจากติดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินนอกจากนี้บริษัทมีการสั่งซื้อวัตถุดิบ (Slab) ราคาต่ำเข้ามาใช้ โดยมีราคาต่ำ 315-340 US$/ตันเข้ามาถัวเฉลี่ยต้นทุน (ต้นทุนวัตถุดิบเดิมอยู่ที่ 460 US$/ตัน) ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นตั้งแต่ไตรมาส 2/52 จะดีขึ้นเรื่อยๆ
การค้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ จีนเป็นทั้งประเทศคู่แข่งและคู่ค้าที่สำคัญของไทย ในด้านการเป็นคู่แข่ง จีนเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในสินค้าหลายรายการในตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น สินค้าเครื่องประดับแท้ (ไทยมีความสำคัญเป็นลำดับที่สามรองจากอินเดียและจีน) เครื่องประดับเงิน (ไทยมีความสำคัญเป็นลำดับที่สองรองจากจีน ในปี 2548 หลังจากที่ไทยเป็นผู้นำในตลาดเครื่องประดับเงินมาตลอด) ในด้านการเป็นคู่ค้า สินค้าหลักที่จีนส่งออกมาไทยคือเงิน จีนจึงเป็นแหล่งวัตถุดิบประเภทเงินที่สำคัญของไทย ส่วนการส่งออกนั้น แม้จีนจะไม่ใช่ตลาดสำคัญอันดับต้นที่รองรับสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับส่งออกของไทย (ในปี 2551 จีนมีความสำคัญเป็นอันดับที่ 28 เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับทั้งหมด) แต่อัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดจีนในช่วงปี 2544-2551 โดยเฉลี่ยแล้วสูงถึงปีละร้อยละ 30.5 ในปี 2551 สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับรายการสำคัญที่ไทยส่งออกไปจีนได้แก่ พลอยสี อัญมณีสังเคราะห์ และไข่มุก (คิดเป็นร้อยละ 62.9, 10.3, และ 7.29 ของการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปจีนทั้งหมดตามลำดับ) เมื่อพิจารณารายสินค้าจะพบว่า สำหรับพลอยสีไทยมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในตลาดจีน อัญมณีสังเคราะห์ไทยมีความสำคัญเป็นอันดับสามรองจากญี่ปุ่นและการนำเข้ากลับ (re-import) ไข่มุกไทยมีความสำคัญเป็นอันดับสามรองจากการนำเข้ากลับ (re-import) ของจีนเองและมาเลเซีย หากพิจารณาเป็นรายสินค้าพบว่า จีนเป็นผู้บริโภคอัญมณีและแพลทินัมรายใหญ่ที่สุดของโลก (มูลค่าการบริโภคอัญมณีมากกว่า 20 พันล้านหยวนต่อปี) นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคเพชรมากที่สุด (การบริโภคต่อปีสูงถึงมากกว่า 25 พันล้านหยวน) การบริโภคเงินก็มากถึงประมาณ 60 ตันต่อปี สำหรับทองคำจีนเป็นประเทศที่บริโภคทองคำมากเป็นอันดับสองของโลก (ในปี 2550 มูลค่าการบริโภคอยู่ที่ประมาณ 363 ตัน) รองจากอินเดีย
1. แม้ความต้องการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจะมีมากและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การผลิตของจีนก็มีแนวโน้มมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่มีราคาไม่สูงนัก ดังนั้น การจะนำอัญมณีและเครื่องประดับไทยเข้าไปแข่งขันกับผู้ประกอบการจีนในสินค้าตลาดระดับล่างจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจีนเองมีความได้เปรียบทางด้านค่าแรง รวมถึงการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากฮ่องกง อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ผลิตในจีนส่วนใหญ่มีลักษณะใกล้เคียงกัน การเจาะตลาดอาจทำได้หากผู้ประกอบการไทยสามารถสร้างความแตกต่างในตัวสินค้า ทำให้สินค้าที่ส่งออกแตกต่างจากที่มีอยู่ทั่วไปในตลาด รวมถึงการสร้างตราสินค้า (Brand) ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดจีน ไม่เช่นนั้นผู้ประกอบการไทยอาจต้องเน้นเจาะตลาดที่มีคุณภาพสูงขึ้น
2. หากพิจารณาจากลักษณะของผู้บริโภคอัญมณีและเครื่องประดับในจีน ผู้ประกอบการอาจเน้นกลุ่มลูกค้าในวัยทำงานหรือวัยที่อยู่ในช่วงของการแต่งงานไปจนถึงวัยกลางคนเพราะเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ และควรเน้นเรื่องการพัฒนารูปแบบสินค้าเพราะผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญค่อนข้างมาก คุณภาพและราคาเป็นกลยุทธ์ถัดมาที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญ นอกจากนี้ผู้ส่งออกควรศึกษาข้อมูลการบริโภคสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับลึกลงไปถึงระดับรายมณฑล เพราะจีนเป็นประเทศขนาดใหญ่ รสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่มีลักษณะแตกต่างกัน ในแง่นี้ผู้ผลิตจีนเองจะมีความได้เปรียบมากกว่า
3. แม้ไทยจะได้สิทธิพิเศษทางภาษีจากข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าจีนได้ทำข้อตกลงทางการค้ากับประเทศและภูมิภาคอื่นๆ ด้วย เช่น อเมริกาใต้ ปากีสถาน ฮ่องกง ชิลี นิวซีแลนด์ เป็นต้น ดังนั้นการพิจารณาความได้เปรียบของไทยจากข้อตกลงการค้าอาเซียน-จีน ต้องพิจารณาควบคู่กับข้อตกลงระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ ด้วย
ที่มา: http://www.depthai.go.th