อุตสาหกรรมรถยนต์ของเวียดนามยังอยู่ในขั้นการประกอบรถ โดยมีอัตราการใช้ชิ้นส่วน ส่วนประกอบและเครื่องยนต์ในประเทศโดยเฉลี่ยเพียง 10 — 20 % ซึ่งน้อยกว่าเป้าหมายของ localization rate ที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 40% ภายในปี 2548 และ 60% ภายในปี 2553 มีเพียงบริษัท โตโยต้าเวียดนามที่ผลิต INNOVA ในอัตราการใช้ชิ้นส่วนประกอบเกือบ 30 — 35% และส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศส่วนใหญ่เป็นแบบง่าย ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเวียดนามยังไม่สามารถพัฒนา อุตสาหกรรมสนับสนุนเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศได้
- การผลิต เวียดนามมีผู้ผลิตรถยนต์มากกว่า 40 ราย และผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์มากกว่า 100 ราย มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นกว่า 200,000 หน่วยต่อปี โรงงานผู้ผลิตในประเทศเป็นผู้ครองตลาดรถบรรทุกและรถเพื่อการค้า ( commercial vehicles ) ส่วนรถนั่งส่วนบุคคลโดยเฉพาะรถ ซีดานผู้นำเข้าจากต่างประเทศเป็นผู้ครองตลาด บริษัทจากญี่ปุ่นเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์ของตลาดเวียดนาม
การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในเวียดนามยังมีต้นทุนสูงกว่ารุ่นเดียวกันเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนเนื่องจากการขาดแคลนอุตสาหกรรมหล่อโลหะและเครื่องจักรที่ทันสมัย ยกเว้นการผลิตสายไฟสำเร็จรูป ซึ่งญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและสามารถส่งออกได้เป็นสินค้าลำดับต้น ๆ ของเวียดนาม
ตลาดรถยนต์ของเวียดนามเป็นตลาดขนาดเล็ก แต่มีคู่แข่งขันจำนวนมาก เพราะมีผู้ประกอบการผลิตรถยนต์รายใหญ่ถึง 16 ราย ดังนั้น การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจรถยนต์ในเวียดนามจึงเป็นเรื่องยากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
ในปี 2552 สมาคมผู้ผลิตยานยนต์เวียดนาม ( VAMA) ซึ่งมีสมาชิก 16 รายที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่สำคัญและสามารถครองตลาดเกือบทั้งหมดของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศได้ตั้งเป้าจำหน่ายรถที่ประกอบในประเทศไว้ 110,00 คัน แต่ ณ มกราคม — พฤศจิกายน 2552 จำหน่ายได้ 104,395 คัน ( ตารางที่ 1 )
- การบริโภค การบริโภครถยนต์ในเวียดนามมีประมาณ 200,00 คัน ( สถิติปี 2552 )ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถนั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุก รองลงมาคือรถอเนกประสงค์และ sport utility vehicles ( ตารางที่ 2)
ตารางที่ 1 : ผู้ผลิตรถยนต์รายสำคัญในเวียดนาม
ยอดขายปี 2550 ปี 2551 ปี 2552 ( มค.- พย.) สัดส่วนครองตลาด ( คัน ) ยอดขาย ( คัน) เพิ่ม / ลด ยอดขาย ( คัน) เพิ่ม / ลด ( โดยเฉลี่ย ) % Toyota 20,113 24,421 21% 25,927 19% 24.80% Truong Hai 11,534 16,373 42% 18,783 17% 18.00% GM Daewoo 7,580 11,036 46% 12,528 24% 12.00% Vinaxuki 7,358 8,070 10% 8,012 6% 7.70% Vinamotor 5,476 20,887 281% 13,928 -30% 13.30% Ford 5,975 6,494 9% 6,806 16% 6.50% Honda 4,260 5,909 39% 3,736 -30% 3.60% Vinastar 4,595 2,925 -36% 3,063 17% 2.90% ( Mitsubishi ) Isuzu 4,229 3,385 -20% 2,597 -27% 2.50% อื่น ๆ 9,272 10,686 15% 9,015 8.60% ยอดขายทั้งหมด 80,392 110,186 37.06 104,395 2% 100% ที่มา: VAMA ( Vietnam Automobile Manufacturers Association ) ตารางที่ 2 : ยอดขายรถยนต์ในประเทศของเวียดนามหน่วย: คัน
2552 2551 อัตราขยายตัว % รวม 104,395 102,449 2% SUV / MPV 24,378 24,253 1% Passenger cars 29,518 21,280 39% Comm. Vehicles 50,499 56,916 -11% Bus Chassis 397 408 -3% ที่มา: VAMA ( Vietnam Automobile Manufacturers Association )แต่การที่ตลาดรถยนต์เวียดนามมีการบริโภคสูงมากเช่นนี้ เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังนั้นเมื่อรัฐบาลยุติมาตรการดังกล่าว ณ สิ้นปี 2552 จึงคาดว่าในต้นปี 2553 ความต้องการบริโภครถยนต์อาจลดลงประมาณ 20 %
อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม ( MoIT) คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ ของเวียดนามจะเติบโตอย่างมากในทศวรรษหน้า โดยสัดส่วนการใช้รถยนต์นั่งส่วนบุคคลในปี 2563 คาดว่าจะเป็น 38 คันต่อประชากร 1,000 คน และจะสูงมากขึ้นในปี 2568 โดยมีสัดส่วนการใช้รถ 88 คัน ต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นการก้าวเข้าสู่สังคมยานยนต์ ( motorization ) เมื่อสัดส่วนการใช้รถยนต์มากกว่า 50 คันต่อประชากร 1,000 คน
Forecast for Motorization in Vietnam
ปี สัดส่วนการใช้รถ ขนาดตลาด( คัน / ประชากร 1,000 คน ) ( คัน )
2558 28 / 1,000 235,000 2563 38 / 1,000 347,000 2568 88 / 1,000 836,000- การนำเข้า ในช่วงกลางปี 2550 สมาชิกหลายรายของ VAMA ได้ขออนุญาตนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมาจำหน่ายในเวียดนาม โดย Mercedes Benz Vietnam ซึ่งเป็นบริษัท joint venture รายแรกที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ารถยนต์มาจำหน่ายได้ ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงการคลังเวียดนามได้ลดภาษีนำเข้าจาก 90% เป็น 60% ในปี 2550 ทำให้การนำรถยนต์เข้ามาจำหน่ายได้กำไรดีกว่าการผลิตในประเทศ นักวิเคราะห์ประมาณว่า 25% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ใช้งานอยู่ในขณะนี้ ( 28,000 คัน) เป็นรถยนต์นำเข้าและคาดว่าหากบริษัทร่วมทุนการผลิตรถยนต์ได้รับอนุญาตให้นำเข้ารถยนต์เพื่อการบริโภคในประเทศได้ ตลาดในประเทศจะถูกรถยนต์นำเข้าทะลัก เข้ามาอย่างแน่นอน
ตารางที่ 3 : การนำเข้ารถยนต์ของเวียดนาม
2551 2552 คัน ล้าน USD คัน ล้าน USD Completely built — up cars 49,959 1,025 76,282 ( +52.7%) 1,193 ( +16.4%) Auto parts 1,362 1,772 ( +30.1%) Others vehicles & parts 580 ที่มา: VAMA ( Vietnam Automobile Manufacturers Association )VAMA กังวลว่าการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปจะเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในประเทศส่วนใหญ่ และอาจยึดกิจการรถยนต์ในประเทศในอนาคต จึงเตือนว่าหากผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับรถยนต์ที่นำเข้าได้ ไม่เพียงแต่เวียดนามจะไม่สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ได้แล้ว ยังต้องประสบภาวะขาดดุลการค้าให้กับรถยนต์นำเข้าที่จะได้รับการลดภาษีเป็น 0% ในปี 2561 ตามพันธะของข้อผูกพันภายใต้ CEPT ของการเปิดเสรีการค้าอาเซียน( AFTA)
|---------------------------------------------------------------------------------------------------|
| การลดภาษีรถยนต์ให้สมาชิกอาเซียนตามข้อผู้พันที่เวียดนามต้องปฏิบัติตามข้อตกลงการเปิดเสรีภายใต้ CEPT ( Agreement on the |
| Common Effective Preferential Tariff ) ของการเปิดเสรีอาเซียน ( AFTA ) เวียดนามต้องลดภาษีรถยนต์ที่นำเข้า |
| จากประเทศในอาเซียนเหลือ 60% ในปี 2556 และ 0 % ในปี 2561 |-----------------------------------------------------------------------------------------------------
ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552 ประเทศที่ครองตลาดรถยนต์นำเข้าในเวียดนามมากที่สุดได้แก่ เกาหลีใต้ 41,445 คัน ( 60.5 %) รองลงไปได้แก่ สหรัฐ ฯ 8,430 คัน ( 12.3 %) ญี่ปุ่น6,153 คัน ( 9.0 %) จีน 3,905 คัน ( 5.7 %) ไต้หวัน 3,598 คัน (5.2 %) ไทย 3,077 คัน ( 4.5 %) และประเทศอื่น ๆ 1,834 คัน ( 2.8 %)โดยรถยนต์ที่นำเข้ากว่าครึ่งหนึ่งจะเป็นรถยนต์ขนาด 9 ที่นั่งลงมารองลงไปจะเป็นรถยนต์บรรทุกประมาณ 32%
- การส่งออก จากข้อมูลของสำนักสถิติของเวียดนาม ( GSO ) ที่เผยแพร่ทั่วไปไม่ได้แยกมูลค่าการส่งออกยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบออกมาอย่างชัดเจน เพราะยังมีมูลค่าส่งออกไม่มากนัก โดยรวมอยู่ในกลุ่มสินค้าที่เป็นพาหนะและอุปกรณ์ ( Means of transport and equipment ) ซึ่งส่งออกได้
ในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2552 มูลค่า US$ 734.7 ล้าน โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญคือ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา และยังอยู่ในกลุ่มสินค้าสายไฟฟ้า (Electrical wire and cable ) มูลค่า US$ 725.0 ล้าน โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญคือ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เช่นกัน
- เวียดนามเป็นตลาดใหม่แต่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ดังนั้นผู้ประกอบการที่สามารถรักษาเครือข่ายการขายทั่วประเทศไว้ได้จะทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในสินค้าและยอมรับในตราสินค้า
- ผู้บริโภคในประเทศมักนิยมใช้สินค้าต่างประเทศ
- โดยปกติ ช่วงเวลาสิ้นปีจะเป็นช่วงที่ความต้องการซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้นเพราะทั้งห้างร้านและครอบครัวมักซื้อรถ / เปลี่ยนรถสำหรับการเดินทางช่วงเต๊ด ( Tet : ตรุษเวียดนาม )
- รถไฮ- คลาส จะถูกนำมาใช้สำหรับแขก VIP ในโรงแรมระดับหรูของเวียดนามโดยทางภาคเหนือ ( กรุงฮานอย ) จะนิยมใช้รถ BMW เช่นรุ่น BMW 530i ส่วนทางตอนใต้ของเวียดนาม ( นครโฮจิมินห์ ) นิยมใช้รถ Mercedes ซึ่งความนิยมดังกล่าวคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีก 1 — 2 ปีข้างหน้า แต่ความเป็นไปได้ที่ความนิยมรถ Mercedes ในทางตอนเหนือจะเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับความนิยมในรถ BMW ในทางภาคใต้จะเพิ่มขึ้น และขณะเดียวกันก็จะมีรถ ไฮ — คลาสยี่ห้ออื่นมาร่วมแข่งขัน เช่น Rolls Royee
ปัจจุบันรถยนต์ที่จำหน่ายในเวียดนามมีราคาสูงมากเพราะถูกปกป้องด้วยกำแพงการค้าโดยเฉพาะภาษีสูงมาก ราคารถยนต์ในเวียดนามสูงกว่าราคารถยนต์ที่จำหน่ายในไทย 2 เท่า และสูงกว่าราคาในประเทศพัฒนาแล้ว 2.5 — 3 เท่า ทั้ง ๆ ที่รายได้โดยเฉลี่ยต่อปีของคนเวียดนามมากกว่า US$1,000 เพียงเล็กน้อยถ้าราคารถยนต์ที่จำหน่ายในเวียดนามมีราคาใกล้เคียงกับราคาที่จำหน่ายในไทย การบริโภครถยนต์ในเวียดนามอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 3 — 4 เท่าตัว
สาเหตุที่ราคารถยนต์ในเวียดนามสูงเกินควรคือ ภาษี ซึ่งปัจจุบันภาษีของรถยนต์ CBUs เป็น 83% รวมภาษีฟุ่มเฟือย ( special consumption tax ) 50% รถยนต์ที่ประกอบในประเทศได้รับการจูงใจมากกว่าด้วยอัตราภาษีเพียง 20% และ 15% สำหรับเครื่องยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ตามลำดับ
มาตรการด้านภาษี
รัฐบาลเวียดนามเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีรถยนต์บ่อยครั้ง เริ่มจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้ประกาศลดภาษีนำเข้าทั้งรถใหม่และรถใช้แล้วลงเหลือ 60% แต่ในเดือนมีนาคม 2551 ได้ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์ดังกล่าว โดยรถยนต์ใหม่เพิ่มจาก 60% เป็น 70% และเพิ่มขึ้นอีกเป็น 83% ในเดือนเมษายน 2551 ส่วรถยนต์ใช้แล้ว การเก็บภาษี ( absolute tax ) ขึ้นกับขนาดเครื่องยนต์ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว absolute tax เพิ่มขึ้น 10%
การที่นโยบายภาษีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาส่งผลกระทบต่อราคาในตลาดเมื่อภาษีลดต่ำลง ผู้บริโภคต่างพากันเร่งซื้อรถยนต์ ทำให้การขาดแคลนสินค้าที่ไม่แท้จริงเกิดขึ้นในตลาด แต่เมื่อภาษีสูงขึ้นตลาดจะซบเซาลงอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของการมีอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ คือ (1) เพิ่มอัตราการใช้ในประเทศ ( localization rate ) (2) ผลิตรถยนต์ภายใต้ brand ของเวียดนาม และ (3) ลดต้นทุนการผลิต
ชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยนับว่ามีจุดแข็งทั้งด้านภูมิศาสตร์และตัวคุณภาพของสินค้า คือ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งขันของไทยเช่น ญี่ปุ่น จีนและเกาหลีใต้ แล้ว การขนส่งสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์จากไทยประหยัดด้านต้นทุนขนส่งมากกว่า ส่วนด้านคุณภาพนั้นผู้ประกอบรถยนต์ในเวียดนามมีความมั่นใจในคุณภาพของสินค้าไทยว่าสามารถผลิตได้คุณภาพมาตรฐานไม่ด้อยกว่าญี่ปุ่น แต่ในราคาที่ต่ำกว่าประกอบกับคุณภาพของสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ในเวียดนามยังไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นโอกาสของชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในตลาดเวียดนามจึงนับว่าสดใสมากทีเดียว
สคร.นครโฮจิมินห์
ที่มา: http://www.depthai.go.th