ตลาดสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบในสหรัฐอเมริกา

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 5, 2010 17:27 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ขนาดของตลาด
  • ตลาดยานยนต์

สหรัฐฯ ผลิตยานยนต์รถทุกชนิดรวมกันมีจำนวน 8.5 ล้านคันในปี 2551 ลดลงร้อยละ -19.2 และมียอดจำหน่ายยานยนต์ทุกชนิดรวมกันในปี 2551 มีมูลค่า 13.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง ไปจากปีที่ผ่านมาร้อยละ -18 และมีผู้ประกอบการยานยนต์ทุกประเภทจำนวน 12 ราย

  • ตลาดอุปกรณ์และส่วนประกอบ

ตลาดอุปกรณ์และส่วนประกอบมียอดจำหน่ายประมาณ 210 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2551 หรือต่ำกว่าปี 2550 ร้อยละ 13.8 โดยแยกเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบในรถที่ผลิตออกมาจากโรงงาน (Original Equipment Manufacturing : OEM) 70 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และชิ้นส่วนอะไหล่และส่วนประกอบทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing :REM) 139 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

อุตสาหกรรมอุปกรณ์และส่วนประกอบมีการจ้างงานประมาณ 625,430 คนในปี 2549 ลดลงร้อยละ -5.0 และมีผู้ประกอบการจำนวน 20,000 ราย

2. ช่องทางการจัดจำหน่าย

ยานยนต์จะถูกจัดส่งจากโรงงาน ประกอบรถยนต์ไปยัง Car Dealer หรือ ตัวแทนเพื่อจำหน่ายให้ผู้บริโภคต่อไป

การจำหน่ายส่วนประกอบยานยนต์ มีความแตกต่างกันระหว่างชิ้นส่วน OEM และชิ้นส่วน Replacement

OEM Parts จะถูกสั่งซื้อโดยโรงงาน ประกอบรถยนต์ไปยังกลุ่มผู้ผลิต Parts ที่ เป็น ผู้ผลิตชิ้นส่วนลำดับ 1 (Tier1) ผลิตป้อน โรงงานโดยตรงและผู้ผลิตชิ้นส่วนลำดับ 2 ผลิต (Tier2) กลุ่ม Tier1 จะนำคำสั่งซื้อไปจ้างกลุ่ม Tier 2 หรือ Tier 3 หรือผู้ผลิตชิ้นส่วน ในต่างประเทศผลิต ต่อไป

ชิ้นส่วนอะไหล่และส่วนประกอบทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing :REM) มีตัวจักรในการกระจายสินค้า 2 องค์กร คือ ตัวแทนการขาย (Sales Rep. หรือ Manufacturer Rep.) จะติดต่อกับกลุ่ม Warehouse Distributor (WD) และ กลุ่ม Jobber (Small Wholesale) ซึ่งจะจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มผู้ให้บริการ เช่น Gas Station, Body Shop และ Repair Shop Buying Group ส่วนอีกองค์กรหนึ่งคือ Buying Group ให้บริการสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านค้าปลีกขายชิ้นส่วน และห้าง Chain Store เช่น Wal-Mart, Target, Home Depot และสินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้า Brand Name ของผู้ผลิต

3. พฤติกรรมการบริโภค

ราคาน้ำมันดิบที่ถีบตัวขึ้นในอัตราสูงมากใน 2 ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อการผลิตและบริโภคอุตสาหกรรมยานยนต์ อปกรณ์และส่วนประกอบของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดการปรับตัว คือ

3.1 ผู้บริโภคต้องการยานยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน และยานยนต์ขนาดเล็กซึ่งไม่กินน้ำมัน

3.2 ผู้บริโภคต้องการยานยนต์ที่ช่วยมลภาวะ Green House Gas และเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Car)

3.3 ผู้บริโภคต้องการใช้ยานยนต์ที่ใช้พลังงานรูปแบบอื่นที่ทดแทนหรือลดการพึ่งพา น้ำมันเบนซิน เช่น Electricity Bio Diesel และ Hydrogen เข้ามาขับเคลื่อนเครื่องยนต์

4. การค้าในประเทศ ราคาขายปลีก

อุตสาหกรรมยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 6 ของ มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross Nation Product) ของสหรัฐฯ ผู้บริโภคสหรัฐฯใช้จ่ายสำหรับสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเป็นมูลค่าประมาณ 305 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 และอุตสาหกรรมมีการจ้างงานจำนวน 877,400 คน ลดลงไปจากปีที่ผ่านมาร้อยละ -11.8

สหรัฐฯ นำเข้ายานยนต์ อุปกรณ์ และ ส่วนประกอบรวมกันเป็นมูลค่า 194 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ -9.0 แยกเป็นการนำเข้ายานพาหนะ 133 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มีแหล่งนำเข้าสำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น (32%) แคนาดา (25%) และเยอรมนี (16%) และ สินค้าอุปกรณ์และส่วนประกอบมูลค่า 61 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มีแหล่งนำเข้าได้แก่ เม็กซิโก (23%) แคนาดา (22%) และ ญี่ปุ่น (18%)

5. ระดับราคาขายส่ง-ขายปลีก

โดยปกติราคาขายรถยนต์ใหม่ (Sticker Price) เป็นราคาขายปลีกค่อนข้างสูงที่ทางบริษัทผู้ผลิตเป็นผู้กำหนดให้ผู้แทนจำหน่าย โดยในราคาดังกล่าว ผู้ผลิตรถยนต์คิดกำไรประมาณร้อยละ 15-20 และจะบวกกำไร (Margin) ประมาณร้อยละ 20-35 ให้ผู้แทนจำหน่าย (Dealer) รถยนต์

เนื่องจากอุปกรณ์และชิ้นส่วนมีจำนวนมากมายหลายประเภท หลายรุ่น และหลากหลายชนิด ทั้งขนาดและรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีผลต่อราคาขายส่งและขายปลีก อีกทั้งราคาผันแปรไปปริมาณการสั่งซื้อ ของตกลง/รูปแบบคำสั่งซื้อ ตลอดจน Brand Name ที่จ้างผลิต และ แหล่งผลิตของสินค้า ดังนั้นจึงไม่สามารถบ่งบอกราคาที่แน่นอนได้

6. สถานการณ์การแข่งขันในตลาด

กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐฯ แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ผลิตสหรัฐฯ ได้แก่บริษัท GM, Ford และ Chrysler กลุ่มผู้ผลิตต่างประเทศ ได้แก่บริษัท Toyota, Nissan, Honda, BMW, Mercedes Benz, Hyundai กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐฯ สูญเสียสัดส่วนตลาดให้แก่ยานยนต์ต่างประเทศไปกว่า ร้อยละ 50 ปัจจุบัน รถยนต์ของสหรัฐฯ มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 47 ในขณะที่ รถยนต์ของประเทศญี่ปุ่น (ทั้งผลิตในสหรัฐฯ และนำเข้า) ร้อยละ 40 รถยนต์ของประเทศเยอรมัน (ทั้งผลิตในสหรัฐฯ และนำเข้า) ร้อยละ 6.7 และรถยนต์ของประเทศเกาหลีใต้ (ทั้งผลิตในสหรัฐฯ และนำเข้า) ร้อยละ 5.1 และ อื่นๆ (อังกฤษ สวีเดน อิตาลี) ร้อยละ 1.2

ผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตไปผลิตในประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ในขณะที่บริษัทรถยนต์ของต่างประเทศเพิ่มกำลังผลิตในสหรัฐฯ เป็นลำดับ

ปัจจุบัน บริษัท Fiat ซื้อกิจการของบริษัท Chrysler เพื่อเป็นช่องทางการเปิดตลาดรถยนต์ Fiat ในสหรัฐฯ Cherry Car ของจีน จะเข้าตลาดสหรัฐฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้า (2555)

7. มาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี

มาตรการภาษี: สหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรรถยนต์นำเข้าและส่วนประกอบในอัตราต่ำ โดยเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าประมาณร้อยละ 0.00-25.00 ไม่ยกเว้น และชิ้นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 0.00-5.00 และให้สิทธิพิเศษ GSP

มาตรการไม่ใช่ภาษี: เป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้าเพื่อความปลอดภัย

1. มาตรฐาน SAE สำหรับอุปกรณ์และส่วนประกอบ OEM

2. มาตรฐาน DOT : US Department of Transportation เน้นในด้านความปลอดภัย

3. มาตรฐาน UL : Universal Laboratories สำหรับส่วนประกอบที่ใช้กับไฟฟ้า

4. มาตรฐาน EPA : กำหนดโดย US Environment Protection Agency : EPA ควบคุมในเรื่องมาตรฐาน Greenhouse Gas Emissions และ Fuel Economy

5. มาตรฐานกลุ่มประกันภัยรถยนต์สำหรับชิ้นส่วน Collision Parts

6. การเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti Dumping Duty)

8. SWOT สินค้ายานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบไทย

จุดแข็ง

1. แรงงานในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและยานยนต์มีการเรียนรู้และสั่งสมทักษะ ความชำนาญด้านการผลิตมาอย่างยาวนานจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการญี่ปุ่น

2. ผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และยานยนต์ในไทยมีการกระจุกตัวและการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม (Cluster) อันเป็นผลดีในแง่ของการลดต้นทุน การวางแผนกลยุทธ์ร่วมกัน รวมถึงลดต้นทุนการขนส่งระหว่างกัน

3. ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มที่ผลิตชิ้นส่วนเพื่อป้อนโรงงานโดยตรง (Tier 1) มีการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างค่อนข้างใกล้ชิด และได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าสินค้าไทยมีคุณภาพ

4. ภาครัฐมีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค จึงมีการเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย

จุดอ่อน

1. แรงงานและทรัพยากรบุคคลขาดทักษะด้านภาษาต่างประเทศซึ่งทำให้เป็นอุปสรรค ประการหนึ่งต่อการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ และขาดความรู้และทักษะด้านการออกแบบ

2. ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนไทยมีข้อจำกัดในการติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศ ขาดการวางแผนทางธุรกิจ รวมถึงการนำระบบการบริหารที่รวดเร็วทันต่อการเปลี่ยนแปลง และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ปรับปรุง และพัฒนาปัจจัยในด้านต่างๆ ขององค์กร เพื่อยกระดับให้เป็นที่ยอมรับจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในต่างประเทศ

3. ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจึงไม่มีศักยภาพในการเพิ่มหรือลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา

4. เครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิต ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศ การทำวิจัย พัฒนา และการทำ นวัตกรรมมีน้อย

5. ขาดการผลักดันและส่งเสริมการใช้ Brand Name ของตนเองในการขยายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (แบบ Replacement) จึงมีการใช้ชื่อตราสินค้า (Brand) ของตนเองน้อยมาก

7. ขาดหน่วยงาน อุปกรณ์ เครื่องมือ ด้านการให้บริการตรวจสอบ ทดสอบ และอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่น้อย ไม่ครบถ้วนตามข้อกำหนด และเก่า ล้าสมัย

8. สหรัฐฯ เป็นตลาดที่คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นข้อจำกัดของสินค้าลอกเลียนแบบ สินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ไทย บางส่วนจะมีโอกาสในตลาดที่ไม่มีความเข้มแข็งในเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

โอกาส

1. ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนของไทย โดยภาพรวมผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และมีแนวโน้มไม่นิยมซื้อรถใหม่แต่จะใช้รถคันเดิมหรือซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งมีราคาต่ำกว่าแม้จะมีปัญหาจุกจิกจากการซ่อมบำรุง ดังนั้นความต้องการอะไหล่รถยนต์จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น เป็นนโอกาสและส่งผลดีต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing ) ของไทย

2. สินค้าชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีพื้นฐานจากยางธรรมชาติเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีความ ต้องการในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก

3. การผลักนโยบายการค้าเสรี ( Free Trade Area : FTA) ของรัฐบาลกับประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ เพื่อการชักจูงให้มีการย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทยมากขึ้น

4. การหาลู่ทางขยายตลาดของชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ไทยในตลาดใหม่ในบางประเทศ เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศอาเซียน อินเดีย เป็นต้น โดยเฉพาะบางประเทศที่มีการเปิดเสรีการค้ากับไทยในหมวดยานยนต์ เช่น อาเซียน

อุปสรรค

1. การประกอบธุรกิจการค้ายานยนต์ทั้งวงจร ตั้งแต่การผลิต การขาย และบริการอยู่ในการ ครอบครองและควบคุมของบริษัทต่างชาติ

2. คนไทยมีค่านิยมที่จะใช้สินค้าต่างประเทศ ไม่สนันสนุน Brand Name ของไทย

3. การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะจีนซึ่งสามารถพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีของตนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และก้าวหน้ากว่าประเทศไทย และ เวียดนามเป็นแหล่งผลิตที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำ

4. ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ราคานำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบยานยนต์ถูกขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศสูญเสียตลาด

5. ราคาน้ำมันดินสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น ราคาเม็ดพลาสติก และ โลหะเหล็กสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และ การส่งออกลดลง

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ