ในปี 2552 ที่ผ่านมา มูลค่าผลผลิตมวลรวมของเยอรมนีลดลงประมาณร้อยละ 5 เนื่องจากการค้ากับต่างประเทศทั้งในด้านส่งออกและนำเข้ามีมูลค่าลดลงมากร้อยละ 17.9 และ 16.4 ตามลำดับ สำหรับสินค้าอาหาร มีการส่งออกมูลค่า 47,288 ล้านยูโรและนำเข้ามูลค่า 56,167 ล้านยูโร เทียบกับปี 2551 มูลค่าลดลงด้วยเช่นกัน ร้อยละ 8.9 และ 9.0 ตามลำดับ
ไทยส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรไปเยอรมนีเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยปีละ 456 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือนมกราคม 2553 มีการส่งออกมูลค่า 40.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.8 สินค้าส่งออกสำคัญ ๆ ได้แก่ ไก่แปรรูป กุ้งแช่แข็ง ข้าว กุ้ง กระป๋อง ปลาทูน่า และสับปะรดกระป๋อง
สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปเยอรมนี มีส่วนแบ่งตลาดและของประเทศคู่แข่งสำคัญๆ ดังนี้
ไก่แปรรูป เบลเยี่ยม 20.0 % เนเธอร์แลนด์ 18.9 % ไทย 12.2 %
กุ้งแช่แข็ง เวียดนาม 16.8 % บังคลาเทศ 14.4 % เนเธอร์แลนด์ 12.3 % ไทย 10.7
ข้าว อิตาลี 30.5 % เนเธอร์แลนด์ 18.4 % เบลเยี่ยม 12.0 % ไทย 10.7 %
กุ้งกระป๋อง ไทย 26.8 % เนเธอร์แลนด์ 20.5 % เดนมาร์ค 11.1
สับปะรดกระป๋อง ไทย 40% เนเธอร์แลนด์ 22.0 % เคนยา 17 % อินโดนีเชีย 14.%
ปลาทูน่ากระป๋อง ฟิลิปปินส์ 23.7 % เนเธอร์แลนด์ 18.7 % เอควาดอร์ 17.5 % ไทย 4.3%
ในปี 2552 ที่ผ่านมา ดัชนีค่าครองชีพของเยอรมนีเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 0.4 เนื่องจากสินค้าประเภทเชื้อเพลิงที่มีราคาแพงในช่วงต้นปี ได้มีราคาลดต่ำลงในช่วงต่อๆ มาส่วนอาหารมีราคาต่ำลงเนื่องจากมีการแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดของร้านค้าประเภท Discounter (Aldi , Lidl และ Netto) ด้วยการลดราคาสินค้ากว่า 12 ครั้งในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายตลาดค้าปลีกอาหารโดยรวมลดลง สำหรับเดือนมกราคมนี้ เป็นช่วงที่อากาศยังหนาวเย็น ผักผลไม้สดที่จำหน่ายในประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากการปลูกในเรือนกระจก และนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาแพงกว่าปกติบ้าง
จากการที่สหภาพยุโรป กำหนดให้สุ่มตรวจหาสารเคมีตกค้าง สารพิษอันตรายในผักสด 3 ชนิดจากไทย (ถั่วฝักยาว มะเขือและกะหล่ำ) ตั้งแต่มกราคม 2553 เป็นต้นมา ในส่วนของเยอรมนียังไม่ทำให้เกิดปัญหาเท่าใด เพียงก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายกับผู้นำเข้าและทำให้ระยะเวลาการขนส่งนานเพิ่มขึ้นอีก 2 — 3 วัน เพื่อป้องกันมิให้สินค้าส่งออกของไทยเกิดปัญหาถูกห้ามนำเข้า ควรจะมีการควบคุมการผลิตให้ปลอดภัย ปราศจากสารพิษ สารต้องห้ามต่างๆ ตกค้าง และรักษาคุณภาพสินค้าให้คงที่ จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาถูกห้ามนำเข้า และจะช่วยให้สินค้าไทยยังคงเป็นที่นิยมสืบต่อไป นอกจากนี้ ควรมีการส่งเสริมพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้มากขึ้น เนื่องจากตลาดมีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยไปเยอรมนี ปี 2551 ปี 2552 ปี 2552 ปี 2553 เพิ่ม/ลด % (ม.ค.-ม.ค.) สินค้าเกษตร (ล้านเหรียญสหรัฐ) รวมทั้งสิ้น 287.7 191.4 15.3 20.3 +32.5 ไก่แปรรูป 63.2 43.7 4.6 4.8 + 5.8 กุ้งแช่แข็ง 26.0 28.7 0.9 2.3 +157.7 ข้าว 23.1 20.6 1.9 1.7 -10.2 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร รวมทั้งสิ้น 247.8 211.2 15.0 20.3 +35.2 กุ้งแปรรูป 44.9 53.5 2.5 5.7 +125.5 สับปะรดกระป๋อง 40.2 25.8 2.5 2.1 -16.8 ปลาทูน่ากระป๋อง 20.5 10.5 0.2 1.8 +701.1 ที่มา กรมศุลกากรไทย
1. สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้น แต่เนื่องจากมีปริมาณและคุณภาพดี เป็นที่ไว้วางใจได้ จึงยังเป็นที่สนใจของผู้นำเข้า
2. การใช้กฏหมายตรวจเข้มสินค้าอาหารที่นำเข้าสร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำเข้า และในที่สุดอาจเลิกนำเข้าสินค้าจากไทยหากมีการตวจพบสารเคมี สารต้องห้ามตกค้างในสินค้าจากไทย
3. คู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะ จีนและเวียตนามมีความสามารถผลิตสินค้าได้มาตรฐานมากขึ้น และมีราคาต่ำกว่าสินค้าประเภทเดียวกันจากไทย
4. อาหารไทยมีรสชาติจัด เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติ คนเอเชียจำนวนประมาณ 1 ล้านคน หรือผู้ที่รู้จักประเทศไทยเท่านั้น
ที่มา: http://www.depthai.go.th